ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๐
~ บูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนรู้ความจริงตรัสรู้ประจักษ์แจ้ง คนอื่นไม่มีโอกาสจะรู้ได้เลยว่าทุกคำของพระองค์ไม่ใช่เพียงฟังเข้าใจ แต่สามารถถึงการประจักษ์แจ้งซึ่งพระอริยสาวกในครั้งอดีตทุกท่านที่จะเป็นอริยสาวกผู้ฟังที่ควรแก่การเป็นผู้ประเสริฐ ต้องเป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริงเดี๋ยวนี้
~ ไม่มีใครอยากทุกข์โศก แต่มีเหตุปัจจัยห้ามไม่ได้ ทุกข์โศกก็เกิด แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เปลี่ยนเลย ความโศกเศร้าไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น เราก็จะเบิกบานที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ไม่มีใครอยากจะเกิดเป็นนกเป็นสัตว์อะไรเลย แต่ก็ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมทั้งหมดรวมทั้งการโศกเศร้าด้วยไม่นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์
~ แม้เกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ยังเกิดได้ เพราะความดีที่ได้ทำแล้ว เพราะฉะนั้น ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ความดีที่ได้ทำแล้ว ทำให้เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไปสู่ที่ดี เพราะเหตุดี
~ ศึกษาธรรม ไม่ต้องศึกษาที่อื่นเลย ชีวิตของแต่ละคนทุกขณะเป็นธรรม เมื่อมีปัจจัยปรุงแต่งเลือกไม่ได้ จึงต้องเป็นไปตามปัจจัย จึงเป็นสังขารธรรม (ธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง)
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริง ใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยประการใดบังคับไม่ได้ จึงมีความคิดหลากหลายเป็นทิฏฐิความเห็นต่างๆ กัน แต่ละกลุ่มแต่ละพวก เพราะสะสมมา ไม่มีใครเลยนอกจากธรรมที่เกิดมาต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จึงเป็นสังขารธรรม ทุกอย่างที่เกิด หลากหลายมาก เพราะเหตุปัจจัยที่ต่างกัน
~ ตราบใดที่กิเลสยังมี ย่อมไม่มีการที่จะยับยั้งไม่ให้สังขารธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น สังขารธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก รูป หรือโดยย่อ คือ นามธรรมและรูปธรรม จิตและเจตสิกเกิดร่วมกันเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ น้อมไปสู่อารมณ์ จึงเป็นนามธรรม ส่วนรูปไม่ใช่สภาพรู้ และที่ทุกคนคิดว่ามีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคลอยู่ เป็นตัวท่านทุกวันๆ ก็คือ การเกิดขึ้นของสังขารธรรม เพราะมีเหตุมีปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น
~ ถ้าท่านยังเป็นผู้ที่ขาดความอ่อนโยน จิตในขณะนั้นก็เป็นอกุศลได้ เพราะว่าชีวิตในแต่ละวันก็ย่อมประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่ายินดีหลายอย่าง ในบางเหตุการณ์ก็ประสบกับคำพูดซึ่งไม่น่ายินดี หรือว่าได้เห็นการกระทำกิริยาอาการของบุคคลอื่นที่ไม่น่ายินดี ถ้าท่านเป็นผู้ที่ไม่อ่อนโยน ไม่มีความอดทน จิตในขณะนั้นย่อมหยาบกระด้าง หรือว่าแข็งกระด้างซึ่งจะเป็นเหตุให้มีการเบียดเบียนต่อบุคคลอื่นทางกาย ทางวาจา หรือแม้ทางความคิดในใจก็ได้
~ แม้ว่าการอ่อนน้อมเป็นกุศล แต่บางครั้งก็ไม่เกิด ซึ่งความจริงแล้วแต่ละท่านก็ทราบว่าเมื่อเป็นกุศลก็ควรที่จะได้เกิดสะสมบ่อยๆ เนืองๆ แต่แม้กระนั้นก็จะได้เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหลายว่าถ้าไม่มีปัจจัยสะสมมาที่จะให้สภาพของจิตเกิดขึ้นเป็นความอ่อนน้อมในขณะนั้น ความอ่อนน้อมในขณะนั้นก็ไม่เกิดขึ้น
~ กิเลสที่มีกำลังแรงเกิดได้เพราะว่าเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ ฉันใด ปัญญาที่คมกล้า ถ้าไม่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งมีกำลังแล้วจะเป็นปัญญาที่คมกล้าได้อย่างไร
~ สำหรับวันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่ากุศลจิตที่เกิดขึ้นกระทำกุศลกรรมต่างๆ นั้น เป็นไปตามฉันทะ (ความพอใจ) ของแต่ละบุคคลที่ได้สะสมมาซึ่งบางท่านอาจจะช่วยเหลือบุคคลอื่น หรือว่าบางท่านอาจจะให้ทานวัตถุสิ่งของเป็นประโยชน์แก่คนอื่น กุศลธรรมเป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยตามฉันทะทั้งในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ในเรื่องการไตร่ตรองเหตุผลในธรรมซึ่งจะต้องไตร่ตรองให้ได้เหตุผลจริงๆ มิฉะนั้น อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้
~ กุศลธรรมย่อมเป็นที่สรรเสริญชมเชย ไม่ว่าในขณะที่กำลังกระทำ ซึ่งมีผู้เห็น หรือแม้แต่ในกาลภายหน้า คือ ไม่ว่ากาลเวลาจะล่วงไป ๑๐๐ ปี ๑๐๐๐ ปี ๒๕๐๐ กว่าปี กุศลธรรมหรือธรรมฝ่ายดีก็เป็นธรรมฝ่ายดี ธรรมใดเป็นธรรมที่ประเสริฐ ธรรมนั้นก็เป็นธรรมที่ประเสริฐ
~ กุศลจิตเป็นปรมัตถธรรม ไม่มีเชื้อชาติ ไม่จำกัดผิวพรรณวรรณะ เป็นอนัตตา ไม่ว่าจะเกิดกับใครที่ไหน เมื่อไร สัตว์ดิรัจฉานก็มีกุศลจิตได้เมื่อมีเหตุที่จะให้กุศลจิตเกิด มนุษย์ก็มีกุศลได้ มีอกุศลได้ ผิวพรรณวรรณะใดก็มีกุศลได้ มีอกุศลได้
~ ขณะที่มีความคิดถึงด้วยความรัก ความผูกพัน ขณะนั้นก็ไม่ใช่หิริ ไม่ใช่โอตตัปปะ เพราะไม่เห็นโทษของความผูกพัน ไม่เห็นโทษของความติดข้อง จึงยังคงคิดถึงด้วยความผูกพันอยู่ ต่อเมื่อใดเห็นว่า เป็นโทษ เป็นภัย เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ความไม่สบายใจทั้งหมด เมื่อนั้น จึงจะคิดถึงด้วยความเมตตา ซึ่งไม่เป็นเหตุให้เกิดความไม่สบายใจ
~ ถ้าในชีวิตประจำวันไม่เคยสนใจว่า เป็นกุศลมากน้อยเท่าไร เป็นอกุศลมากน้อยเท่าไร ย่อมไม่รู้จักตนเองตามความเป็นจริง เมื่อไม่รู้จักตนเองตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ และเรื่องของธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากจริงๆ ถ้าไม่พิจารณาโดยละเอียดก็อาจจะคิดว่า รู้จักตัวเองพอสมควร แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม จะทำให้เข้าใจขึ้นว่าที่เข้าใจว่ารู้จักตัวเองนั้น รู้จักมากหรือรู้จักน้อยแค่ไหน
~ ขณะที่อยากจะช่วยใคร ต้องการให้เขาเป็นสุข มีอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่เขาก็ทำในขณะนั้น จิตในขณะนั้นอ่อนโยน ตรงกันข้ามกับขณะที่กำลังโกรธกำลังขุ่นเคือง
~ ทุกท่านทราบเรื่องความไม่แน่นอนของชีวิตใช่ไหม? ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม้แต่ความตาย เพราะฉะนั้น ไม่ควรรอคอยวันเวลาที่จะทำกุศล ไม่ว่าจะเป็นวัตถุทาน อภัยทาน ธรรมทาน หรือกุศลอื่นๆ และกุศลที่ควรจะง่ายและสะดวกซึ่งไม่น่าจะต้องคอยกาลเวลาเลย คือ อภัยทาน กุศลอื่นยังต้องคอยกาลเวลาใช่ไหม การใส่บาตร การทำบุญ ยังต้องคอยกาลเวลา การตระเตรียม แต่อภัยทานไม่น่าต้องคอยกาลเวลาเลย ควรจะเป็นกุศลที่ง่ายและสะดวก
~ บุคคลอื่นไม่สามารถทำให้เราโกรธได้ ถ้าเราไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าขณะใดที่ความโกรธเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นการประทุษร้ายตนเอง ซึ่งบุคคลอื่นไม่ได้กระทำ นอกจากกิเลสของตนเองเป็นผู้กระทำ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ในขณะนั้นจะเห็นโทษของอกุศล
~ ทรัพย์สินเงินทองหมดแน่ มีเท่าไหร่ก็ต้องจากไป ติดตามไปไม่ได้ แต่ความเข้าใจธรรม สะสมอยู่ในจิต ปลอดภัยที่สุด อะไรก็ทำอันตรายไม่ได้
~ ชีวิตสั้นมาก ใครรู้ จะตายเช้านี้ก็ได้ ตายตอนกลางคืนก็ได้ ใครรู้ เพราะฉะนั้น ขณะที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ คือ ขณะที่เข้าใจความจริง ปลูกฝังสะสมเพื่ออบรมให้เจริญเพิ่มขึ้นต่อๆ ไป แต่ละขณะที่มีความเข้าใจถูกตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี
~ เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เพราะฉะนั้น เป็นคนที่ดีที่สุดที่จะดีได้ในชาตินี้ ดีไหม? และเป็นคนที่ฟังธรรมด้วยความเคารพในความจริง เป็นผู้ตรงต่อความจริง จึงสามารถที่จะไม่เห็นผิด เพราะกิเลสทั้งหลาย มาจากความเห็นผิด มากมายตามลำดับ
~ ถ้ารู้ว่าเป็นคนนี้เพียงแค่ชาตินี้ จะเป็นคนดีขึ้นไหมหรือเป็นคนเลว? เพราะว่าคนต่อไปก็มาจากชาตินี้เอง ไม่ใช่ไปเอาความดีของคนอื่นมาเป็นเหตุที่จะให้เกิดชาติหน้า
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๙


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เพราะฉะนั้น เป็นคนที่ดีที่สุดที่จะดีได้ในชาตินี้ ดีไหม? และเป็นคนที่ฟังธรรมด้วยความเคารพในความจริง เป็นผู้ตรงต่อความจริง จึงสามารถที่จะไม่เห็นผิด เพราะกิเลสทั้งหลาย มาจากความเห็นผิด มากมายตามลำดับ
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา