ไม่ใช่การจำได้มากๆ
โดย ธรรมทัศนะ  1 ต.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51063

แทนที่จะท่องจำ ก็ให้รู้พระพุทธประสงค์ที่ทรงแสดง เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่การจำได้มากๆ โดยไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไร จะสั้นสักเพียงไรก็ตาม ขอให้เข้าใจในอรรถนั้นจริงๆ ให้เป็นผู้รู้ทั่วถึงอรรถ


รับฟัง ...

ไม่ใช่การจำได้มากๆ

แทนที่จะท่องจำจำนวน ก็ให้รู้พระพุทธประสงค์ที่ทรงแสดง ทุกขสัจได้แก่จิตอะไรบ้างนั้นว่า เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่ไม่ใช่ตัวตน ตามข้อความใน อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต โยธาชีววรรคที่ ๔ อุมมังคสูตร ข้อ ๑๘๖ ที่ว่า

… รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแห่งคาถา ๔ บาทแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไซร้ ก็ควรเรียกว่า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ฯ

ไม่ใช่การจำได้มากๆ โดยไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไร จะสั้นสักเพียงไรก็ตาม ขอให้เข้าใจในอรรถนั้นจริงๆ ให้เป็นผู้ รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแห่งคาถา ๔ บาทนั้นแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควร แก่ธรรม คือ สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะทรงแสดงเรื่องของโลภะ สติระลึกลักษณะของโลภะ ทรงแสดงเรื่องของโทสะ สติระลึกลักษณะของโทสะ ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม จึงเป็นพหูสูต

แต่ถ้าโลภมูลจิตมีกี่ดวง ประกอบด้วยเจตสิกเท่าไร และไม่ระลึกลักษณะของโลภมูลจิต ขณะนั้นก็ไม่สามารถเข้าใจในสภาพที่เป็นเพียงจิต แต่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนได้ ถ้าโดยนัยนั้น จะรู้มากเท่าไรก็ไม่ใช่พหูสูต เพราะไม่รู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นความจริงอย่างนั้นๆ สามารถพิสูจน์ได้ในขณะที่โลภมูลจิตเกิดโดยระลึกรู้ตามความเป็นจริงตามที่ทรงแสดง สามารถรู้ทั่วถึงในความหมาย ในอรรถของสภาพธรรมนั้น ก็เป็นพหูสูต

เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องละเอียดที่จะต้องรู้ว่า เป็นการรู้ทั่วถึงในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมและบัญญัติธรรมนั่นเอง สามารถแยกรู้ได้ว่า สุขทุกข์ในวันหนึ่งๆ นี้ เกิดจากปรมัตถธรรม หรือว่าเกิดจากบัญญัติธรรม [ตอนที่ 1601]