เค้ามูลแห่งความตระหนี่และความริษยา ตอนที่ ๒ [สักกปัญหสูตร]
โดย wittawat  27 พ.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50036

เค้ามูลแห่งความตระหนี่และความริษยา ตอนที่ ๒ [สักกปัญหสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 133
[๒๕๖] ครั้นแล้ว ได้ทูลถามปัญหาต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็ความริษยาและความตระหนี่มีอะไรเป็นนิทาน (เค้ามูล) มีอะไรเป็นสมุทัย (เครื่องก่อ) มีอะไรเป็นชาติ (เหตุเกิด) มีอะไรเป็นแดนเกิด ก็เมื่ออะไรยังมีอยู่ ความริษยาและความตระหนี่จึงมี และเมื่ออะไรไม่มีอยู่ ความริษยาและความตระหนี่ย่อมไม่มี.
พ. ชื่อถวายพระพร ความริษยาและความตระหนี่ มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก เป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่ออารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักยังมีอยู่. ความริษยาและความตระหนี่ย่อมมีเมื่อไม่มีอยู่ ความริษยาและความตระหนี่ย่อมไม่มี.


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 174
คํามี เค้ามูลเป็นต้น มีใจความอันได้กล่าวไว้เสร็จแล้ว.
บทว่า มีที่ชอบและที่ชังเป็นเค้ามูล คือความตระหนี่มีสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักเป็นเค้ามูล
ริษยามีสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รักเป็นเค้ามูล
หรือทั้งสองก็มีทั้งสองเป็นเค้ามูล.
ก็สําหรับนักบวช ลูกศิษย์ลูกหาเป็นต้น
สําหรับชาวบ้านลูกเป็นต้น หรือสัตว์ก็มีช้าง ม้าเป็นต้น ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่หยอกล้อ เป็นที่ยึดถือว่าของเรา.
เมื่อไม่เห็นพวกเหล่านั้น แม้ครู่เดียวก็ทนไม่ได้.
เมื่อเขาได้เห็นคนอื่นผู้ได้สัตว์ที่น่ารักอย่างนั้นก็เกิดริษยา
ถูกคนอื่นขอสัตว์นั้นเองว่าพวกเรามีงานบางอย่างด้วยสัตว์นี้ โปรดให้ยืมสักครู่เถิด ก็ให้ไม่ได้
กล่าวว่าเขาจะเหนื่อยหรือเขาจะกลุ้ม แล้วก็เกิดความตระหนี่.
ด้วยประการฉะนี้ ก็เป็นอันว่า ความริษยาและความตระหนี่แม้ทั้งสอง มีสัตว์อันเป็นที่รักเป็นเค้ามูล.
ก็แหละ สําหรับภิกษุบริขารมีบาตรและจีวรเป็นต้น
หรือสําหรับชาวบ้านอุปกรณ์มีเครื่องประดับเป็นต้น ย่อมเป็นที่รักที่ชื่นใจ.
เมื่อเขาเห็นสิ่งชนิดนั้นกําลังเกิดแก่คนอื่น ก็เกิดความริษยาว่า โอ้หนอ ขอสิ่งเห็นปานนี้ ไม่พึงมีแก่คนนั้น
และแม้ถูกขอก็เกิดความตระหนี่ว่า แม้พวกเรากําลังรักยังใช้สอยสิ่งนี้อยู่ ยังให้ไม่ได้หรอก.
ด้วยประการฉะนี้ ก็เป็นอันว่าแม้ความริษยาและความตระหนี่ทั้งสอง ย่อมมีสังขารอันเป็นที่รักเป็นเค้ามูล.
แต่เมื่อได้สัตว์และสังขารประการที่กล่าวมาแล้วนั้น แต่เป็นชนิดที่ไม่น่ารักเลย ถึงแม้ว่าสัตว์และสังขารเหล่านั้นไม่เป็นที่ชื่นใจเขา
แม้อย่างนั้นก็ตาม เพื่อให้พวกกิเลสที่ตรงกันข้ามเป็นไปได้ ก็กระทําความริษยาว่า เว้นข้าเสียแล้ว ใครอื่น เป็นผู้ได้สัตว์และสังขารเห็นปานนี้
หรือถูกขอยืมก็ไม่ให้ ย่อมกระทําความหวง.
ด้วยประการฉะนี้ ก็เป็นอันว่า ความริษยาและความตระหนี่แม้ทั้งสองย่อมมีสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รักเป็นเค้ามูล.


ทีฆนิกายฏฺฐกถา (สุมงฺคลวิลาสินี๒) - หน้าที่ 546
นิทานาทีนิ วุตฺตตฺถาเนว ฯ
(คำว่า เค้ามูลเป็นต้น มีความหมายอย่างที่กล่าวไว้แล้ว)
ปิยาปฺปิยนิทานนฺติ ปิยสตฺตสงฺขารนิทาน มจฺฉริยํฯ
(คำว่า มีที่ชอบและที่ชังเป็นเค้ามูล หมายถึง ความตระหนี่มีสัตว์และสังขารที่เป็นที่รักเป็นเค้ามูล)
อปฺปิยสตฺตสงฺขารนิทานา อิสฺสาฯ
(ความริษยา มีสัตว์และสังขารที่ไม่เป็นที่รักเป็นเค้ามูล)
อุภยํ วา อุภยนิทานํ ฯ
(หรือทั้งสองอย่างก็มีทั้งสัตว์และสังขารที่เป็นที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นเค้ามูล)
ปพฺพชิตสฺส หิ สทฺธึวิหาริกาทโย ฯ
(สำหรับภิกษุนั้น ศิษย์ที่อยู่ร่วมกัน เช่น สัทธิวาสิกทั้งหลาย ย่อมเป็นที่รัก)
คหฏฺฐสฺส ปุตฺตาทโย หตฺถิอสฺสาทโย วา สตฺตา ปิยา โหนฺติ เกฬายิตา มมายิตา ฯ
(สำหรับคฤหัสถ์ ลูกเป็นต้น หรือสัตว์ เช่น ช้าง ม้า เป็นต้น ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่หยอกล้อ เป็นสิ่งที่ถูกยึดถือว่าเป็นของเรา)
มุหุตฺตํปิ เต อปสฺสนฺโต อธิวาเสตุํ น สกฺโกติ ฯ
(เมื่อไม่ได้เห็นสัตว์เหล่านั้นแม้เพียงชั่วครู่หนึ่ง ก็ไม่สามารถอดทนได้)
โส อญฺญํ ตาทิสํ ปิยสตฺตํ ลภนฺตํ ทิสฺวา อิสฺสํ กโรติ ฯ
(ผู้นั้นเห็นผู้อื่นได้สัตว์ที่น่ารักเช่นนั้น ก็เกิดความริษยา)
อิมินา อมฺหากํ กิญฺจิ กมฺมํ อตฺถิ ฯ มุหุตฺตํ ตาวกาลิกํ เทถาติ ตเมว อญฺเญหิ ยาจิโต น สกฺกา ทาตต ฯ
(เมื่อถูกคนอื่นขอว่า “สัตว์นี้เรามีธุระบางอย่างด้วย ขอให้ยืมสักครู่เถิด” ก็ไม่สามารถให้ได้)
กิลมิสฺสติ วา อุกฺกณฺฐิสฺสติ วาติ อาทีนิ วตฺวา มจฺฉริยํ กโรติ ฯ
(กล่าวคำว่า “มันจะเหน็ดเหนื่อย หรือจะกลุ้มใจ” เป็นต้น แล้วก็เกิดความตระหนี่)
เอวํ ตาว อุภยํปิ ปิยสตฺตนิทานํ โหติฯ
(ดังนี้ ความริษยาและความตระหนี่ทั้งสองย่อมมีสัตว์ที่เป็นที่รักเป็นเค้ามูล)
ภิกฺขุสฺส ปน ปตฺตจีวราทิปริกฺขารชาติ ฯ
(สำหรับภิกษุ บริขาร เช่น บาตร จีวร เป็นต้น ย่อมเป็นที่รัก)
คหฏฺฐสฺส วา อลงฺการาทิอุปกรณํ ปิยํ โหติ มนาปิ ฯ
(สำหรับคฤหัสถ์ เครื่องประดับ และอุปกรณ์อื่นๆ ก็ย่อมเป็นของรัก เป็นที่ชื่นใจ)
โส อญฺญสฺส ตาทิสํ อุปฺปชฺมานํ ทิสฺวา อโห วตสฺส เอวรูปํ น ภเวยฺยาติ อิสฺสํ กโรติฯ
(เมื่อผู้นั้นเห็นสิ่งของชนิดเดียวกันนั้นเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น ก็คิดว่า “โอ้หนอ ขอสิ่งเช่นนี้อย่ามีแก่เขาเลย” แล้วก็เกิดริษยา)
ยาจิโต จาปิ มยมฺเปตํ มมายนฺตา ปริภุญฺชาม ฯ น สกฺกา ทาตุนฺติ มจฺฉริยํ กโรติ ฯ
(แม้ถูกขอก็กล่าวว่า “พวกเรายังถือว่าสิ่งนี้เป็นของเรา ยังใช้อยู่ ยังให้ไม่ได้” แล้วก็เกิดความตระหนี่)
เอวํ อุภยํปิ ปิยสงฺขารนิทานํ โหติ ฯ
(ดังนี้ ความริษยาและความตระหนี่ทั้งสองย่อมมีสังขารที่เป็นที่รักเป็นเค้ามูล)
อปฺปิเยปิ ปน เต วุตฺตปฺปกาเร สตฺเต จ สงฺขาเร จ ลภิตฺวา สเจปิสฺส เต อมนาปา โหนฺติ ฯ
(แต่แม้ได้สัตว์และสังขารชนิดนั้นที่กล่าวมาแล้ว แม้สิ่งเหล่านั้นจะไม่น่ารักก็ตาม)
ตถาปิ กิเลสานํ วิปริตวุตฺติตาย ฐเปตฺวา มํ โภ อญฺโญ เอวรูปสฺส ลาภีติ อิสฺสํ วา กโรติ ฯ
(แม้อย่างนั้น ก็เพราะกิเลสดำเนินไปในทางตรงกันข้าม จึงคิดว่า “เว้นเราซะแล้ว ผู้อื่นได้ของเช่นนั้น” แล้วก็เกิดริษยา)
ยาจิโต ตาวกาลิกํปิ อททมาโน มจฺฉริยํ วา กโรติ ฯ
(เมื่อถูกขอ แม้เพียงชั่วคราวก็ไม่ให้ แล้วก็เกิดความตระหนี่)
เอวํ อุภยํปิ อปฺปิยสตฺตสงฺขารนิทานํ โหติ ฯ
(ดังนี้ ความริษยาและความตระหนี่ทั้งสองย่อมมีสัตว์และสังขารที่ไม่เป็นที่รักเป็นเค้ามูล)


[สรุป]
>> เค้ามูลแห่งความตระหนี่และความริษยา คืออะไร?
>> ความตระหนี่ มีสัตว์และสังขารที่เป็นที่รัก เป็นเค้ามูล
>> ความริษยา มีสัตว์และสังขารที่ไม่เป็นที่รัก เป็นเค้ามูล
>> ความตระหนี่และความริษยา มีสัตว์และสังขารทั้งที่เป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก เป็นเค้ามูล
[สัตว์อันเป็นที่รัก]
>> ความริษยาเกิดขึ้นได้ เมื่อเห็นบุคคลอื่นได้คนหรือสัตว์ที่เรารัก ที่เราชอบไป
>> ความตระหนี่เกิดขึ้นได้ เมื่อมีคนมาขอยืมญาติหรือมิตรสหายหรือสัตว์ที่เรารักไป ผู้นั้นไม่สามารถทนได้
[สังขารอันเป็นที่รัก]
>> ความริษยาเกิดขึ้นได้ เมื่อเห็นบุคคลอื่นได้สิ่งของมีค่า ไป
>> ความตระหนี่เกิดขึ้นได้ เมื่อมีคนมายืมของมีค่าไป ผู้นั้นไม่สามารถให้ได้
[สัตว์และสังขารที่ไม่เป็นที่รัก]
... เพราะกิเลสเป็นสภาพที่ลึกซึ้ง
>> แม้กระทั่งสิ่งของหรือสัตว์ที่เราไม่ชอบ ถ้าบุคคลอื่นได้ไป ความริษยาก็เกิดได้
>> แม้กระทั่งสิ่งของหรือสัตว์ที่เราไม่ชอบ ถ้าบุคคลอื่นมาขอยืมไป ความตระหนี่ก็เกิดขึ้นได้

กราบอนุโมทนา



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 29 พ.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ