อ.สมพรตอบปัญหาธรรม (3)
โดย สารธรรม  6 ต.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51112

การเรียน คือ การฟังนั่นเอง การฟังเรียกว่าการศึกษา เราจะต้องเข้าใจว่า วิปัสสนานั้นมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ปรมัตถ์หมายถึงรูปเป็นรูป นามเป็นนาม ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ซึ่งปรากฏทางทวารทั้ง ๖ คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ


รับฟัง ...

อ.สมพรตอบปัญหาธรรม (3)

สุ . ต่อไปเป็นคำถามเรื่องของวิปัสสนา ซึ่งคงจะเหมือนๆ กับที่ได้ กล่าวถึงแล้ว แต่ก็ขอเชิญอาจารย์ตอบอีกเพื่อความชัดเจนพอสมควรกับเวลา

คำถามข้อที่ ๑ ผู้ประสงค์จะเจริญวิปัสสนา ต้องเรียนให้รู้เสียก่อนจึงปฏิบัติได้ ใช่ไหม

อ.สมพร การเรียน คือ การฟังนั่นเอง การฟังเรียกว่าการศึกษา เราจะต้องเข้าใจว่า วิปัสสนานั้นมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ปรมัตถ์หมายถึงรูปเป็นรูป นามเป็นนาม ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ซึ่งปรากฏทางทวารทั้ง ๖ คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

ทางตา ปรมัตถ์อะไรปรากฏ สีปรากฏ สี คือ รูปนั่นเอง ปรากฏทางตา นอกจากสีแล้วไม่มีอะไรปรากฏทางตาได้เลย การเห็นสีเป็นนาม นามเป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เมื่อนามไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ก็เป็นอารมณ์วิปัสสนาได้ แต่การที่เราจะระลึกรู้ว่านี่เป็นสี นี่เป็นการรู้สี ต้องหมั่นระลึกบ่อยๆ

ในขณะที่เราเห็น เห็นครั้งหนึ่งก็ระลึกครั้งหนึ่ง จะระลึกอย่างไรก็แล้วแต่ หมั่นศึกษาเล่าเรียน ระลึกอยู่บ่อยๆ พิจารณาดูบ่อยๆ

หรือการได้ยินเสียงก็เหมือนกัน เสียงเป็นรูปเท่านั้น ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ได้ยินเสียงก็เป็นนาม ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เราต้องรู้ถึงปรมัตถ์คือสิ่งที่มีจริง เมื่อเราศึกษาเล่าเรียน ศึกษาคือการฟังบ่อยๆ และปฏิบัติทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจบ่อยๆ อารมณ์ปรมัตถ์เกิดขึ้นกับเราทุกครั้งเลย การที่เรารู้อารมณ์อย่างนี้เป็นวิปัสสนาส่วนหนึ่ง ส่วนย่อย

แต่เห็นครั้งใดก็เห็นคน เห็นสัตว์ เห็นวัตถุ เห็นเงิน เห็นทอง เห็นสิ่งของ ต่างๆ ไม่เห็นเป็นสีสักทีหนึ่ง เพราะว่าจิตเราเคยจดจำไว้ แล่นเลยไป เห็นครั้งหนึ่งก็เห็นคน แท้จริงแล้วเห็นครั้งแรกที่ปรากฏเป็นแต่เพียงสีเท่านั้นเอง เป็นปรมัตถ์ จึงไม่มีคน ไม่มีบัญญัติจริงๆ

คำถามข้อที่ ๒ วิธีเรียนวิปัสสนานั้นมีอยู่กี่อย่าง อะไรบ้าง

เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามีอยู่กี่อย่าง ถ้ามีอยู่กี่อย่างนั่นเป็นการจำได้ว่า วิปัสสนาภูมินั้นมี ๖ อย่าง การจำได้อย่างนี้ วิปัสสนาญาณไม่ได้เกิดจากการศึกษา เล่าเรียน

คำถามข้อที่ ๓ คำว่า ภาวนา

คำว่า ภาวนา มีความหมายกว้าง ภาวนาในพระพุทธศาสนาหมายถึงปัญญา ปัญญาขั้นต่ำ คือ สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง ปัญญาขั้นที่ ๒ คือ จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิด เมื่อฟังแล้วก็คิด ปัญญาขั้นที่ ๓ คือภาวนามยปัญญา การคิดบ่อยๆ ถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว การเจริญของปัญญาก็เกิดขึ้น ชื่อว่าภาวนามยปัญญา

แต่ภาวนาที่ถามนี้ไม่ตรงตามพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นภาวนามยปัญญา เป็นภาวนาที่เราเรียกกันเองว่า ภาวนา เช่น ภาวนาว่า นะ มะ พะ ทะ หรือ มะ อะ อุ หรือ นะโมพุทธายะ ... นี่ไม่ใช่เป็นปัญญาภาวนา แต่เป็นไสยศาสตร์ ชนิดหนึ่ง เนื่องจากพวกพราหมณ์มาเผยแผ่ในพระพุทธศาสนา เราก็เอาคำเหล่านี้ มาท่อง มาปลุกเสก มาเป่า เช่น บริกรรมว่า นะ มะ พะ ทะๆ แต่เราไม่รู้เลยว่า คืออะไร เราปฏิบัติสิ่งที่ไม่รู้ ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร สิ่งที่ต้องรู้มีอีกมากมาย ในพระพุทธศาสนา และเป็นกุศลด้วย

ความไม่รู้เป็นโมหะ เป็นอวิชชา เป็นอกุศล ควรละเสีย เจริญสิ่งที่เป็นกุศลดีกว่า เจริญสิ่งที่เรารู้ดีกว่า สิ่งที่เราไม่รู้ตัดไปเสีย ท่านเรียกว่าเป็น สีลัพพตปรามาส คือ ปฏิบัติผิด ถ้าเราคิดว่าการบริกรรม นะ มะ พะ ทะ สามารถทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้ ก็เป็นสีลัพพตปรามาส คือ ปฏิบัติผิด ในพระพุทธศาสนาไม่ใช่ปฏิบัติอย่างนี้ จะทำให้พ้นทุกข์ได้

เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เราไม่รู้ ไม่ควรเจริญ ต้องศึกษาก่อน พระพุทธศาสนาอาศัยปัญญา คือ ความรอบรู้จริงๆ จึงจะปฏิบัติถูกต้อง ไม่ใช่เชื่อตามๆ กันมา เมื่อเราฟังแล้ว เราเชื่อครึ่งหนึ่งก็ได้ และศึกษาว่าถูกต้องตามเหตุผลหรือไม่ ไม่ใช่ ท่านบอกให้ภาวนา เราก็ภาวนา ถ้าสิ่งนั้นเป็นกุศลก็ดีไป แต่ถ้าไม่ใช่กุศลก็ต้องเป็นอกุศล ชื่อว่าเป็นคนโง่ อาจารย์เราเป็นคนโง่ เราก็เป็นคนโง่อีก อย่างนี้ไม่เหมาะสม เราต้องพิจารณาธรรมเป็นใหญ่ มีเหตุผล

คำถามข้อที่ ๔ ผลของสมถะอย่างสูงจะไปถึงไหน

สมถะล้วนๆ อย่างสูงถึงพรหมโลก คือ รูปพรหม อรูปพรหมซึ่งสูงสุด ถึงเราจะมีปัญญาแค่ไหน ก็ไม่มีโอกาสไปได้ เพราะพวกเราไม่ได้ฌาน

แต่สมถะในพระพุทธศาสนาไม่ได้มุ่งอย่างนั้น มุ่งถึงการสงบระงับจากกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้วิปัสสนาญาณเกิด สมถะ เช่น เราได้มูลกัมมัฏฐาน อาจารย์ ให้อารมณ์ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นสมถะ ให้เราพิจารณาเพื่อเห็นว่า ร่างกายทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของปฏิกูล เพื่อกำจัดโลภะ นี่เป็นสมถะ

เมื่อเราพิจารณาร่างกายว่าเป็นของปฏิกูล ก็สามารถคลายจากโลภะได้ จิตว่างเบาจากโลภะ ก็สามารถระลึกถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ให้ปัญญาเกิดขึ้น แต่จิตเราเอาแค่สมถะเท่านั้นไม่พอ เพราะสมถะเป็นเพียงบัญญัติเท่านั้น แต่ก็เป็นกุศล เจริญได้ก็ดี

คำถามข้อที่ ๕ ผู้เจริญสมถะแล้ว ประสงค์จะต่อวิปัสสนาได้หรือไม่

ถ้าเราเข้าใจวิปัสสนา เจริญสมถะจนกระทั่งได้ฌานแล้ว เจริญวิปัสสนา ระลึกรู้องค์ฌาน คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ซึ่งก็คือนามนั่นเอง แต่สำหรับ คนไม่มีปัญญาก็ยาก เพราะฉะนั้น อย่าใฝ่ให้สูงไป แค่ทางตาที่ปรากฏทุกวันๆ เรายังระลึกไม่ได้ ทางหูได้ยินทุกวันๆ เรายังระลึกไม่ได้ ว่าเป็นรูปเป็นนาม

สุ. ต่อไปเป็นคำถามเรื่องพระวินัย ก็คงต้องเป็นอาจารย์สมพรตอบ

ถามว่า พระภิกษุที่ปาราชิกแล้ว โดยที่เจ้าอาวาสไม่รู้ไม่ทราบ และมาร่วมพิธีสังฆกรรม เช่น บวชพระภิกษุใหม่ ผู้ที่บวชใหม่นั้นจะเป็นพระได้หรือไม่

และเวลาที่ฟังการบรรยายแล้วง่วง มีผู้หวังดีปลุกให้ฟังธรรมต่อ จะเป็นบาปหรือได้บุญ เพราะว่าเจตนาของเราเพื่อให้เขาได้ฟังการบรรยายด้วยความเข้าใจ แต่เขากำลังหลับ

อ.สมพร การที่ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว ถ้า สังฆกรรมนั้นมีพระเพียง ๕ รูป เรียกว่าชนบท เมื่อมีภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ๑ รูป ผู้ที่บวชใหม่นั้นไม่เป็นพระ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ต้องมีพระอย่างน้อย ๕ รูป แต่ถ้าเกิน ไม่เป็นไร ถ้ามีภิกษุเกิน ๕ รูป มีภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกอยู่ ๑ รูป โดยที่ไม่มีใครรู้ ผู้บวชใหม่นั้นเป็นพระได้ พระวินัยวางกฎไว้อย่างนี้

และที่ถามว่า มีผู้หวังดีปลุกให้ฟังธรรมต่อ จะเป็นบาปหรือได้บุญนั้น ถ้าเจตนาของผู้ที่ปลุกเป็นกุศล ก็เป็นบุญ ไม่ใช่เป็นบาป แต่ผู้ที่ถูกปลุกแล้ว ตื่นขึ้นมา มีเจตนาตั้งใจฟังก็เป็นบุญ ถ้าตื่นขึ้นมาไม่พอใจ ก็เป็นบาป หมายถึง เป็นกิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองจิตใจ แต่เจตนาของคนอื่นรู้ยาก เราคิดเองก็แล้วกันว่า เจตนาของเราหวังจะให้เขาเกิดปัญญา เราจึงปลุกเขา ก็เป็นกุศล ไม่ใช่แกล้ง แต่ถ้าเราแกล้งเขา ปลุกเขาด้วยเจตนาไม่ดี บาปก็เกิดขึ้น อยู่ที่เจตนาเป็นใหญ่