ปสาทสูตร
ว่าด้วยความเลื่อมใสในวัตถุเลิศ ๔ ประการ
สงฆ์สาวก ของตถาคตคือใคร คือคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ บุรุษบุคคล ๘ นี่สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า คำว่า คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ หมายความว่าอย่างไร
คำว่า คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ หมายถึง การกล่าวถึงพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ เมื่อนับโดยคู่ ได้ ๔ คู่ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นที่ ๑สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล เป็นคู่ที่ ๒ อนาคามิมรรค อนาคามิผล เป็นคู่ที่ ๓ อรหัตตมรรค อรหัตตผล เป็นคู่ที่ ๔ ถ้านับเรียงโดยบุคคลได้ ๘ บุคคล คือ ๑.โสดาปัตติมรรค ๒.โสดาปัตติผล ๓.สกทาคามิมรรค ๔.สกทาคามิผล ๕.อนาคามิมรรค ๖.อนาคามิผล ๗.อรหัตตมรรค ๘.อรหัตตผล
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ..
คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ [อรรถกถาปสาทสูตร]
การเลื่อมใสในวัตถุอันเลิศย่อมได้วิบากอันเลิศ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย พระนิพพานหรือวิราคะธรรมเป็นเลิศกว่าธรรมทั้งปวง สงฆ์ ๔ คู่ ๘ บุคคลเป็นนาบุญที่เลิศกว่านาบุญใด
กล่าวโดยบุคคลบัญญัติ เป็น 8 บุคคล กล่าวโดยปรมัตถบัญญัติเป็นโลกุตตรจิต 8 ประเภท หรือ 8 ดวง คือ มรรคจิต 4 (เป็นจิตชาติกุศล) ผลจิต 4 (เป็นจิตชาติวิบาก) มรรคจิต และ ผลจิต เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน โดยไม่มีระหว่างคั่น แม้จักรวาลจะแตกทำลาย ก็ไม่สามารถมาคั่นระหว่าง มรรค และ ผล ได้ มรรคจิต แต่ละประเภท จะเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้นในสังสารวัฏ แต่ผลจิตแต่ละประเภท สามารถเกิดขึ้นได้หลายขณะ
เนื่องจากดิฉันไม่มีความรู้พื้นฐานปรมัตถธรรม อ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจ จึงขอความกรุณาอธิบายเพิ่มเติม
- มรรคจิต และ ผลจิต เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน โดยไม่มีระหว่างคั่น หมายความว่าอย่างไร
- มรรคจิต แต่ละประเภท จะเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้นในสังสารวัฏ แต่ผลจิตแต่ละประเภท สามารถเกิดขึ้นได้หลายขณะ
มรรคจิตเป็นกุศล ผลจิตเป็นวิบาก มรรคจิตที่เกิดขึ้นประหานกิเลสเป็นสมุจเฉท กิเลสอันนั้นจะไม่เกิดอีก เช่น พระโสดาบัน ละความเห็นผิดในสัตว์ในบุคคลได้ ละวิจิกิจฉา มีศีล 5 บริสุทธิ์ เป็นต้น ส่วนผลจิตเกิดได้หลายขณะ หมายความว่า ผลจิตเกิดภายหลังตอนที่เข้าผลสมาบัติ
มรรคจิตเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพื่อประหารกิเลสตามลำดับขั้น กิเลสที่ถูกประหารด้วยมรรคนั้นๆ จะไม่กลับมาเกิดใหม่ให้ประหารอีก คือ ดับเป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้น มรรคจิตจึงเกิดได้เพียงครั้งเดียวในสังสารวัฏฏ์ แต่ผลจิตสามารถเกิดได้หลายขณะ (อาจจะเป็น ๒ หรือ ๓ ขณะ) ในมรรควิถี โดยเกิดสืบต่อจากมรรคจิตที่ดับไปทันที สำหรับพระอริยบุคคลที่เป็นเจโตวิมุติ (ได้ฌาน) ท่านยังสามารถเข้าผลสมาบัติได้ โดยมีนิพพานเป็นอารมณ์ ส่วนที่ว่ามรรคจิตและผลจิต เกิดต่อเนื่องกันโดยไม่มีระหว่างคั่นนั้น แสดงถึงความเป็นอกาลิโกของโลกุตรกุศลค่ะ คือให้ผลทันที ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ส่วนกุศลขั้นอื่นๆ นั้น ยังต้องรอกาลให้ผลค่ะ
ผู้ทีบรรลุเป็นพระอริยบุคคล เช่น พระโสดาบัน จะมีโสดาปัตติมรรคจิต เกิดขึ้นเพียงขณะเดียวและโสดาปัตติผลเกิดต่อทันที 2 หรือ 3 ขณะ หลังจากนั้น ถ้าเป็นพระโสดาบันที่ได้็ฌานด้วยสามารถเข้า ผลสมาบัติ ให้ โสดาปัตติผลจิต เกิดขึ้น ต่อเนื่องกันไป จนกว่าจะออกจากฌานสำหรับผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ แม้จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะต้องมี มรรคจิต 4 และผลจิต 4 เกิดขึ้นกับพระองค์เช่นเดียวกับพระอรหันตสาวก
จริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไกล เกินไปครับ แต่ไม่เป็นไร จะอธิบายพื้นฐานก่อนนะครับ จิตแบ่งเป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆ คือ
1. โลกียกุศลจิต (จิตที่นับเนื่องในโลก โลกในที่นี้คือ ตา หู จมูก..ใจ รูป เสียง..เป็นต้น เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน
2. โลกุตตรกุศลจิต (จิตที่พ้นจากโลก คือ พ้นจาก ทางตา หู...ใจ คือ เป็นจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์นั่นเอง เช่น มรรคจิต ผลจิต
โสดาปัตติมรรคจิต เป็นจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ประหารกิเลส คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา ศีลพรตปรามาส
โสดาปัตติผลจิต เป็นจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ เช่นกัน เกิดต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น (ที่เรียกว่า อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล)
มรรคจิตและผลจิต อีก 6 ดวง โดยนัยเดียวกัน แต่ดับกิเลสคนละอย่างครับ ที่เป็นสงฆ์สาวก เพราะ คำว่าสาวก มาจากผู้ที่สำเร็จแล้วจาการฟัง นั่นก็คือการบรรลุธรรม การบรรลุธรรม ก็มีจิต 8 ดวงครับ คือ โสดาปัตติมรรคจิต....อรหัตผลจิต นี่เรียกว่า การบรรลุธรรม เพราะเป็นพระอริยบุคคลนั่นเอง
แต่ที่สำคัญ เป็นเรื่องไกลๆ ๆ ๆ ๆ มากครับที่จะรู้เรื่องนี้ รู้ก็รู้แต่ชื่อ ควรอบรมความเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานเป็นสำคัญ เพราะจะทำให้ถึง จิต 8 ดวงนี้ได้ครับ แต่การรู้ชื่อไม่ได้ทำให้เราถึง จิต 8 ดวงนี้ได้เลย ครับ
ขอบพระคุณครับ :)
ขอบพระคุณครับ
ขอบพระคุณครับ
สาธุ