ผูกพันมาก ทุกข์ก็มาก
โดย ธรรมทัศนะ  10 ต.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51139

เรื่องของทุกข์ ซึ่งทุกคนเกิดมาแล้วที่จะไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ เป็นไปไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าความทุกข์จะเกิดขึ้นกับใคร ในวันไหน ในลักษณะอย่างไร และจะเป็นทุกข์ที่ร้ายแรงในความรู้สึก หรือเป็นทุกข์ เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่ร้ายแรง ถ้ามีความผูกพันไม่มาก ทุกข์ก็คงไม่มาก แต่เมื่อมีความผูกพันมาก ทุกข์นั้น ก็ย่อมมาก


รับฟัง ... ไม่มีความทุกข์ ไม่มี

คราวก่อนเป็นเรื่องของทุกข์ ซึ่งทุกคนเกิดมาแล้วที่จะไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ เป็นไปไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าความทุกข์จะเกิดขึ้นกับใคร ในวันไหน ในลักษณะอย่างไร และจะเป็นทุกข์ที่ร้ายแรงในความรู้สึก หรือเป็นทุกข์ เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่ร้ายแรง

ขอเล่าให้ฟังถึงท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งสามีของท่าน เข้าไปในบ้านและบอกท่านว่า ลูกหายไป ซึ่งลูกท่านยังเล็กอยู่ ท่านตกใจมาก เป็นทุกข์ใหญ่หลวงในชีวิตของท่าน ถ้าเหตุการณ์นี้ไม่เกิดกับท่าน ท่านจะไม่ทราบเลยว่า ความรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมากมายนั้นเป็นอย่างไร ลูกเล็กหายไป คิดดู สำหรับ ทุกท่านจะรู้สึกอย่างไร คนที่ไม่เป็นทุกข์คงไม่มี แต่ขณะนั้นท่านผู้นั้นเป็นผู้ได้ฟัง พระธรรม ท่านก็เห็นจริงว่า โลภะ ความผูกพัน เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์อย่าง ใหญ่หลวงสักแค่ไหน ถ้าไม่มีข่าวว่าลูกของท่านหายไป ท่านจะไม่รู้เลยว่า ความผูกพันอย่างมาก ย่อมนำทุกข์อย่างมากมาให้

ถ้ามีความผูกพันไม่มาก ทุกข์ก็คงไม่มาก แต่เมื่อมีความผูกพันมาก ทุกข์นั้น ก็ย่อมมาก แต่ในที่สุดก็เป็นข่าวดี คือ ลูกของท่านไม่ได้หาย เพียงแต่ไปเล่นบ้าน ข้างๆ โดยไม่ได้บอกให้ใครทราบ เพราะฉะนั้น ทุกคนก็หากันนาน ในที่สุดก็ทราบจากคนที่อยู่บ้านที่ลูกไปเล่นว่า ความจริงลูกเล่นที่บ้านนั้นนานแล้ว แต่เหตุการณ์นั้นก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ได้อย่างมาก นี่เป็นช่วงหนึ่งที่คิดว่าหายแต่ไม่หาย แต่ถ้าเป็นการหายไปจริงๆ ความทุกข์นั้นจะมากมายสักแค่ไหน

เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทุกคนซึ่งมีความผูกพัน เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุการณ์ ที่ทำให้ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ผูกพันยึดมั่นก็ต้องเป็นทุกข์ ถ้าคิดถึงพระโสดาบัน ท่านจะตกใจไหม เป็นของธรรมดาที่ทุกคนจะต้องตกใจและโศกเศร้า เมื่อยังมีเหตุที่จะให้โศกเศร้าอยู่ แสดงว่าขณะใดที่ปัญญาไม่เกิด ขณะนั้นความโศกเศร้าก็ย่อมเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ แต่ถ้าปัญญาพร้อมสติเกิดขึ้นในขณะใด ชั่วขณะที่ปัญญาและสติเกิด ขณะนั้นรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า แม้ความรู้สึกเสียใจ โทมนัส ความโศกเศร้าอย่างรุนแรงนั้น ก็เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว เพราะในขณะนั้นก็เห็น ซึ่งขณะเห็นไม่ใช่ขณะที่โศกเศร้า ขณะที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่ขณะที่โศกเศร้า เพราะฉะนั้น จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของ สภาพธรรมแต่ละขณะ แต่ละประเภทซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่เพราะว่าปัญญายังรู้ไม่ทั่ว เวลาที่มีความโศกเศร้ามากๆ ขณะนั้นสติปัฏฐานก็ไม่เกิดที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมอื่นซึ่งไม่ใช่ลักษณะของความโศกเศร้าเสียใจ ทำให้มีความรู้สึกเหมือน กับว่าเป็นความทุกข์อย่างใหญ่หลวง เหมือนกับว่าไม่ได้ดับไปเลย แต่ความจริงทุกขเวทนาหรือโทมนัสเวทนาเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะและดับไป และมีสภาพธรรมอื่นปรากฏ นี่คือกิจของปัญญาจริงๆ

ถ้าปัญญาไม่เกิด ไม่มีอะไรที่จะผ่อนคลายความทุกข์ความโศกเศร้านั้นๆ ได้ แต่ก็เป็นแนวทางที่จะทำให้ทุกท่านได้พิจารณาเห็นโทษของโลภะว่า ถ้ามีโลภะมากๆ ความทุกข์ก็ต้องมาก เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่ความทุกข์จะลดน้อยลง ก็คือมีความ ติดข้องมีความผูกพันลดน้อยลง และทุกข์นั้นก็เป็นทุกข์ทางใจ เป็นโทมนัส เป็นทุกข์ประเภทหนึ่งซึ่งปัญญาสามารถระงับได้ แต่ก็ยังมีทุกข์อย่างอื่นอีกมาก ซึ่งถ้าเป็น ทุกข์กายที่เป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนสภาพของ ทุกข์กายนั้นให้เป็นสุขทางกายได้ และสำหรับทุกข์กายในภูมิมนุษย์ที่ว่ามาก สำหรับท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วย หรือเป็นโรคภัยอย่างร้ายแรง ถ้าเปรียบเทียบทุกข์กายนั้นกับในนรก หรือเปรต ก็ย่อมจะเทียบกันไม่ได้เลย เพราะว่าทุกข์ในทุคติภูมินั้น ต้องมีมากกว่าทุกข์กายในสุคติภูมิ [ตอนที่ 1989]

เปิดอ่าน ... แด่ผู้มีทุกข์

อุเบกขาเวทนา คือ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ความรู้สึกอื่น คือ สุขเวทนา หรือ โสมนัสเวทนาเกิดต่อ แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง เวทนาอื่น คือ ทุกขเวทนา หรือ โทมนัสเวทนา เกิดต่อแล้วก็ดับไปไม่เที่ยง หมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกวัน ไม่จบสิ้น



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 10 ต.ค. 2568

ได้ซึ่งสุข ก็จะต้องสลับกับทุกข์ต่อไปจนถึงขณะตาย สิ้นสุดความเป็นบุคคลในชาติ หนึ่งๆ ซึ่งทุกชาติแม้ในชาติก่อนๆ และชาติหน้าต่อๆ ไปอีก ก็ย่อมเป็นเช่นนี้ ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นที่สามารถจะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

กิเลสทั้งหลายที่เกิดแต่ละครั้งแต่ละขณะ แม้ว่าจะดับไปแล้ว ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิตขณะต่อๆ ไป เป็นอนุสัยกิเลส คือ เป็นกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ จึงเป็นเชื้อปัจจัยที่จะทำให้เกิดกิเลสประเภทนั้นๆ อีก

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 10 ต.ค. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ


ความคิดเห็น 3    โดย worrasak  วันที่ 10 ต.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย Kalaya  วันที่ 11 ต.ค. 2568

อ่านด้วยความเข้าใจได้ แต่ก็ยากที่จะเข้าใจค่ะกราบอนุโมทนาค่ะ