ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕
โดย วันชัย๒๕๐๔  12 พ.ค. 2555
หัวข้อหมายเลข 21104

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

วันที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และ วิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ได้รับเชิญจากชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท เพื่อไปร่วมสนทนาธรรม เนื่องในวันพืชมงคล

ที่ห้องประชุมใหญ่ ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ

ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.

แม้ว่าจะเป็นการสนทนาธรรม ที่มีเวลาเพียงสองชั่วโมง แต่ก็มีความการสนทนา

ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ผู้ที่ได้ฟัง จะได้พิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพื่อความเข้าใจ

เป็นขณะที่มีค่ายิ่งขณะหนึ่ง ที่ทุกบุคคลรู้ว่า ลาภอันประเสริฐเหนือสิ่งอื่นใดในชาตินี้

คือ โอกาสที่จะสะสมความรู้ ความเข้าใจในพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงไว้ เป็นการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัยอย่างแท้จริง

อารัมภบท

การศึกษาพระธรรม เป็นเรื่องความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏตามปกติ

ในชีวิตประจำวัน เป็นการศึกษา เพื่อละความไม่รู้ เพราะพระธรรม ละเอียดมาก

และลุ่มลึก ถ้าพื้นฐานเราไม่ดี ความเข้าใจไม่มั่นคง เราจะเข้าใจแต่ความหมายของ "ชื่อ"

ที่เราจำ แล้วก็พูดตาม โดยคิดว่าเราเข้าใจ

การฟัง เรื่องของสภาพธรรม เป็นเรื่องเพิ่มพูนปัญญา เป็นการฟังเพื่อ "ละความไม่รู้"

ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น เราไม่สามารถจะคิดเองได้

เพราะเหตุว่า คำสอนของพระองค์นั้น มาจากการบำเพ็ญพระบารมี ถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์

สิ่งที่เรามีโอกาส ที่จะได้ฟัง ในปัจจุบัน ในชาตินี้ หลังจากที่พระองค์ทรงปรินิพพานแล้ว

สองพันห้าร้อยกว่าปี ก่อนที่พระธรรมนี้ จะอันตรธานไป เพราะไม่มีใครศึกษา

ไม่มีใครเข้าใจ ก็ควรที่จะได้เห็นประโยชน์สูงสุด

ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงที่ปรากฏ ตั้งแต่เกิด ก็ปรากฏให้เห็น ว่ามีจริงๆ

จนกระทั่ง ขณะสุดท้าย ที่จะจากโลกนี้ไป ก็ยังมีการเห็น หรือ มีการรู้ สิ่งที่มีในโลกนี้

เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็จากโลกนี้ไป

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิด จนถึง ณ บัดนี้ ถ้าไม่มีโอกาส ได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย

ก็เป็นการมีชีวิตอยู่ ซึ่งทุกคนก็รู้ว่า ชีวิตของแต่ละคน เกิดแล้วต้องเป็นไป

ตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่มีใคร สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต ซึ่งแต่ละขณะ ต้องเกิดขึ้น

เป็นไป ตามปัจจัย ไม่ใช่มีใคร สามารถที่จะไปบันดาล

หรือ เปลี่ยนแปลง ให้เป็นอย่างอื่นได้

ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ก็จากโลกนี้ไป โดยไม่ได้รู้ความจริงว่า เกิดมาทำไม?

แล้วก็ต้องตายไปด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เกิดมา แล้วก็ยังอยู่ต่อไป

เพราะฉะนั้น ก็ต้องคิดถึงความจริง แล้วก็ต้องเข้าใจประโยชน์สูงสุดของชีวิต

ว่าประโยชน์สูงสุด ก็คือว่า ก่อนจะเกิด ไม่มีคนนี้เลย ที่จะเป็นสิ่งที่ เข้าใจว่า "เป็นเรา"

แต่ว่าเมื่อเกิดแล้ว ก็มีเหมือนกับว่า "มีเรา"

แล้วก็ "หายไป" จากโลกนี้

ไม่เหลืออะไรเลย

จากการมีชีวิตอยู่ในโลก สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เหล่านี้

แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ

แล้วจะมีประโยชน์อะไร? กับการที่เกิดมา

แต่ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระโพธิสัตว์

แล้วก็มีการที่จะเข้าใจ ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

เพราะรู้ว่า เมื่อมีจริง ก็สามารถที่จะเข้าใจ ความจริงนี้ได้

จึงได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก เพื่อที่จะได้รู้ความจริง ของสิ่งซึ่ง "กำลังปรากฏ"

ด้วยเหตุนี้ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วก็ได้เริ่มฟังพระธรรม แล้วก็ "มีความเข้าใจ" ว่า

ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ก็ทรงตรัสรู้ "สิ่งที่กำลังปรากฏ"

ใน "ขณะนี้" เอง

แต่ว่า "ยาก" กว่าที่จะได้รู้ความจริง ของ "สิ่งที่กำลังปรากฏ"

ไม่มีใครสามารถ ที่จะ "คิดเอง" ได้

แต่ว่า "สิ่งนี้" ก็มีจริงๆ สำหรับผู้ที่ตรัสรู้แล้ว และ ทรงแสดงความจริง ของ "สิ่งที่มีจริง"

เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่มีโอกาส ได้ยิน ได้ฟัง ก็เป็นลาภอันประเสริฐ

เพราะเหตุว่า จะทำให้ มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ตั้งแต่ขณะที่ฟัง "เข้าใจ"

ก็จะทำให้ แม้ขณะต่อๆ ไปอีก ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน เมื่อไหร่

ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ "เข้าใจ" สิ่งที่ฟังนั้นแหละ

เพราะเหตุว่า "ได้ฟังแล้ว"

เพราะฉะนั้น โอกาสนี้ ก็เป็นโอกาสที่เป็นลาภอันประเสริฐ

ที่มีโอกาส ที่จะได้เข้าใจ สิ่งที่มีในขณะนี้ จากการที่ฟังเรื่องของสิ่งที่มีในขณะนี้

แล้วก็พิจารณา ไตร่ตรอง จนกระทั่ง เป็นความเข้าใจ ของตนเอง

เพราะเหตุว่า ชาวพุทธ ลืมคำว่า "พุทธะ"

"พุทธะ" คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

แสดงว่า ก่อนนั้น ต้องยังไม่ตื่น เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่มี

แล้วจะเบิกบาน ใน "ความไม่รู้" นั้นได้อย่างไร?

เพราะว่า "ความไม่รู้" ไม่น่าจะเป็นที่เบิกบานเลย

ด้วยเหตุนี้ ถ้าเป็นผู้ที่ ได้ยิน ได้ฟัง คำว่า "พุทธะ" ก็ต้องเข้าใจความหมายจริงๆ ว่า

หมายความถึง "ผู้รู้" ซึ่งรู้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง

เพราะ การตรัสรู้ ไม่ใช่เพียงรู้ เล็กๆ น้อยๆ แต่ตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

ซึ่งคนอื่น ไม่สามารถที่จะรู้ได้

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ "ไม่ง่าย" ต่อการที่จะรู้ความจริง

แต่ก็สามารถที่จะ "เริ่มเข้าใจ" ได้ โดยความเป็น "ผู้ตรง"

ว่า ขณะนี้ ฟังอะไร? ฟังให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

เพื่อที่จะได้ ไม่หลงเป็นผู้ที่

เพราะความไม่รู้ ก็จะทำให้ ชีวิตเป็นไปด้วยความไม่รู้

แต่ถ้า มีความรู้ถูก มีความเห็นถูก ชีวิตก็จะเปลี่ยน จากการที่ไม่รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว

อะไรถูก อะไรผิด ก็จะทำให้ "พ้น" จากความประพฤติ ซึ่งเป็นเหตุที่นำทุกข์มาให้

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะแต่ละครั้ง ให้ทราบว่า

ประโยชน์ อยู่ที่ "ความเข้าใจ"

ไม่ใช่ประโยชน์ที่ ทำให้อยากได้ อยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อยากหมดกิเลส

แต่ไม่รู้อะไรเลย

ไม่รู้ความจริง แม้ของสิ่งที่กำลังปรากฏ

ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่า ทุกอย่าง ต้องเป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย

ท่านผู้ถาม กราบเรียนถาม อาจารย์สุจินต์ นะครับ พอดีผมได้ศึกษาธรรมะ

มาจากหลายครูบาอาจารย์ ทุกครูบาอาจารย์ก็เก่งครับ รวมถึงผมได้ศึกษา

ของอาจารย์สุจินต์ด้วย (แต่) ทุกคนสอนแนวทางไม่เหมือนกัน ผมก็เลยสงสัยว่า

มาตรฐานอยู่ที่ไหน? ผมก็เลยกลับมาดูว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้อย่างไร

ผมก็เลยมาอ่านพระไตรปิฏก ในพุทธวจน ท่านตรัสไว้มีหลายนัย

แล้วแก่นจริงๆ คือ อะไร? โดยรวมที่ผมเข้าใจด้วยตัวผมก็คือ มีอริยมรรคมีองค์ ๘

แล้วก็สติปัฏฐาน ๔ ในสติปัฏฐานสูตร แล้วผมก็เลยมาดูอีกนัยหนึ่ง ที่เป็นสักแต่ว่า

ก็จะเป็น เกี่ยวกับรูป-นาม ก็คือ มาเข้ากับอาจารย์สุจินต์ ที่อาจารย์สุจินต์สอน นะครับ

ก็คือ เหมือนกับว่า ผัสสะกระทบอายตนะ เนี่ย คือ สภาพธรรมะอย่างหนึ่ง เท่านั้น

อย่างเช่น ตาเราเห็น เราก็เป็นสภาพเห็นเท่านั้น เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง

โดยที่ไม่ปรุงแต่ง อันนี้ก็เป็นเกี่ยวกับรูป-นาม แต่ผมมาดูอีกนัยหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส

เป็นอานาปานสติน่ะครับ อยู่ในสติปัฏฐานสูตร ท่านตรัสว่า สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์

เมื่ออานาปานสติ บริบูรณ์ ผมก็เลยสงสัยว่า เราต้องปฏิบัติทางไหนครับ?

ทั้งแยกรูป-นาม หรือว่า มาเจริญสติปัฏฐาน ในกาย เวทนา จิต ธรรม

แล้วผมก็ลองปฏิบัติดู สองทางเลย

ผมสงสัยทุกอย่างน่ะครับ เพราะเราไม่รู้ว่า ตรงไหนที่ถูกจริงๆ แล้วก็เป็นวิชาจริงๆ

เพราะผมยิ่งศึกษามาก ยิ่งเหมือนกับว่า เรายิ่งมีอวิชชามากน่ะครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ การศึกษาทุกอย่าง ต้องตามลำดับหรือเปล่าคะ?

หรือว่า ข้ามๆ ไป พอได้ยินคำว่า "มรรค" พอได้ยินคำว่า สติปัฏฐาน" หรือ "ปฎิบัติ"

แล้วก็ลองปฏิบัติหลายอย่าง แต่ว่า ตามความเป็นจริง

ขณะนี้ เข้าใจสิ่งที่กำลังมี จริงๆ หรือเปล่า?

นี่คือ ตามลำดับ

เพราะฉะนั้น พระธรรม "ตั้งต้น" ด้วยการพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

ซึ่ง ภาษาบาลี ใช้คำว่า "ธรรมะ"

แต่ "ธรรมะ" ไม่ใช่ภาษาไทย

เพราะว่าบางคน ฟังแล้วไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร?

เป็นคนไทย แล้วก็ถามว่า ธรรมะ คือ อะไร? ก็แสดงว่า ธรรมะ ก็ไม่ใช่ภาษาไทย

แต่ถ้าใช้คำว่า ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ มีหรือเปล่า?

จะตอบว่าอย่างไร? สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ มีไหม? ยังไม่ต้องไปมรรค ยังไม่ต้องไปไหนเลย

เพียงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ มีไหม?

นี่คือ ตามลำดับ ของความเข้าใจ

ถ้าพูดถึง สิ่งที่ไม่มีจริง มีประโยชน์ไหม?

และ ถ้าพูดเรื่องอื่น แต่ไม่ทำให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จริงๆ

จะเป็นประโยชน์ไหม? ทั้งๆ ที่มี สิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีจริงๆ

"เห็น" มีจริงๆ แน่นอน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็มีจริงๆ แน่นอน

เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจ จะมีประโยชน์ไม๊คะ? จะมีประโยชน์ นะคะ

ซึ่งภาษาบาลี ก็ใช้คำที่แสดงถึงสิ่งที่มีจริงๆ ว่า "ธรรมะ"

ภาษาบาลี ไม่มีคำว่า "สิ่งที่มีจริงๆ "

แต่ "ธรรมะ" คือ "สิ่งที่มีจริงๆ " ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มี

เพราะฉะนั้น "เห็น" เป็น "ธรรมะ" หรือเปล่าคะ?

ท่านผู้ถาม เป็นครับ

ท่านอาจารย์ เป็น เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ มีความรู้ มีความเข้าใจว่า

ขณะนี้ "เห็น" เกิด จึงเป็น "เห็น" เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เกิด ก็ไม่ใช่เห็น ถูกต้องไม๊คะ?

ท่านผู้ถาม ถูกครับ

ท่านอาจารย์ หรือว่า "ได้ยิน" ก็ต้องเป็น "ได้ยิน" เกิดแล้ว "ได้ยิน"

"ได้ยิน" จะเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากว่าเกิดขึ้นได้ยิน "เสียง"

เป็นธรรมะหรือเปล่าคะ?

ท่านผู้ถาม เป็นครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะถ้ารู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง เริ่มตั้งแต่

มีความเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริง แม้ในขณะนี้ ก็หลากหลายมาก แล้วก็ต่างกันด้วย

"เสียง" มีจริงๆ ไม๊คะ?

ท่านผู้ถาม มีครับ

ท่านอาจารย์ "ได้ยิน" มีจริงๆ หรือเปล่า?

ท่านผู้ถาม มีครับ

ท่านอาจารย์ แล้ว "ได้ยิน" เป็น "เสียง" หรือเปล่า?

ท่านผู้ถาม ไม่ใช่ครับ ไปรับรู้เสียงครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "ได้ยิน" ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง "เสียง" ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง

ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จนกระทั่งรู้ความจริง เป็น "มรรค" คือ "หนทาง"

ที่จะ ประจักษ์แจ้ง ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏหรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ เราละเลย และ ข้าม "ความเข้าใจ" ไปหาอย่างอื่นหมดเลย

ไปหาศัพท์ต่างๆ ก็มี

แต่ว่า สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ แม้แต่ "ลักษณะ" ที่ต่างกัน ก็ยังไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง

ถ้าไม่ถาม ก็ไม่คิดถึงเลยด้วยซ้ำไป ใช่ไม๊คะ?

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ที่ "ได้ยิน" แล้วไม่รู้ความจริงของ "ได้ยิน"

ขณะนั้น จะ "ละ" ความติดข้อง และ ความไม่รู้ ได้ไหม? ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่หนทางที่จะประจักษ์แจ้ง ความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ

เพราะว่า ไม่ใช่มรรค เป็นเพียงคำ แต่ต้องหมายความถึง ความเข้าใจ ตามลำดับ

จนกระทั่ง สามารถที่จะเข้าใจ "ลักษณะ" ของสิ่งที่ปรากฏ

จนประจักษ์แจ้ง ในทุกขอริยสัจจะ

ซึ่งหมายความถึง สิ่งที่เกิดในขณะนี้...

เกิด...แล้ว...ดับ...

ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ไม่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง

ของ "เห็น" ซึ่งเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ได้ยิน

ขณะที่ "เห็น" จะมี "ได้ยิน" ไม่ได้

และ แม้แต่ขณะที่ได้ยินขณะนี้ "ได้ยิน" คำว่า "ได้ยิน"

แล้วก็ กำลัง...เริ่มเข้าใจ..."ลักษณะ" ที่ได้ยิน

ว่า "ได้ยิน" เกิด "ได้ยิน" เสียง

แล้ว "ได้ยิน" ก็ดับ

นี่ก็เป็นการ เริ่มเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริง

จนกว่าจะ ประจักษ์แจ้ง การเกิดดับ ของทุกสิ่งทุกอย่าง

ซึ่งมีปัจจัย เกิดขึ้น และ ดับไป

จึงจะเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ

ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า "ธรรมะ"

"เข้าใจธรรมะ" ก็คือ เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

จนกว่าจะรู้ความจริง

ละคลายความสงสัย และ ความไม่รู้

อย่างนี้ พอที่จะเข้าใจไม๊คะ?

"...ทุกท่านต้องมีความอดทนที่จะศึกษาให้เข้าใจธรรม

อดทนฟังและศึกษาเป็นปี เป็นหลายๆ ปีแล้วก็ตลอดชีวิตด้วย ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าที่เคยเข้าใจว่าธรรมไม่ต้องศึกษา เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

ศึกษาแล้ว กว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นในขั้นของการฟังจนกระทั่งมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ ท่านประธานชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท

พลตรีนายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร รองเจ้ากรมแพทย์ทหารบก และ สมาชิกชมรมฯทุกท่าน

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ



ความคิดเห็น 1    โดย kinder  วันที่ 13 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย daris  วันที่ 13 พ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณวันชัยที่กรุณาแบ่งปันเรื่องดีๆ อันมีค่ายิ่ง

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 3    โดย nong  วันที่ 13 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 13 พ.ค. 2555

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยมา ณ กาลครั้งนี้ครับ

ขออนุโมทนาทุกท่านด้วยครับ


ความคิดเห็น 5    โดย parithat  วันที่ 13 พ.ค. 2555

แต่ก่อนผมก้คล้ายๆ กับผู้ถามครับ สงสัยๆ ไปหมด แต่ก้ชอบเรียนรู้และชอบถามและคิดตลอด ทำไมๆ ๆ อ่านประวัติครูบาอาจารย์ก็หลายท่าน ทั้งที่เป็นพระและฆราวาส แต่เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง แรงอธิษฐานมีจริง สาธุ...ขอให้ผมได้เจอครูบาอาจารย์ที่รู้ธรรมะของพระศาสดาอย่างแท้จริงเถอะ ทั้งอ่านฟังและคิดจากหลายๆ ครูอาจารย์ ก้ยังไม่เข้าใจ ส่วนมากจะเป็นอภินิหารซะส่วนใหญ่ แต่พอมาฟังท่านอาจารย์สุจินต์ ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นความเข้าใจ ฟังจนกว่าจะเข้าใจ เป็นเพียงปรากฏแล้วก้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีสาระอันใดเลย แต่ก้ไม่อิสระเพราะเกิดด้วยเหตุปัจจัยให้เกิด ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แล้วก้ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน .....เมื่อก่อนผมจะเป็นคนที่ชอบมีโทสะมาก ก้อ่านหนังสือของหลวงพ่อหลวงตา นี่ไม่ได้ปรามาสท่านนะ ผมก้ยังไม่มีสติพอที่จะเข้าใจโทสะเท่าไร แต่พอฟังธรรมะของท่านอาจารย์ พยายามที่จะเข้าใจและไม่ปฏิบัติเหมือนที่คนทั่วไปปฏิบัติ คือต้องไปสวดมนต์ ทำบุญ หรือต้องไปปฏิบัติที่วัด คือที่ชาวบ้านเขาทำกันนั่นแหละ ปรากฏว่าพอฟังและพิจารณาตามบ่อยๆ เนืองๆ สติมันก้ทำหน้าที่ของมันเอง จะเป็นสติปัฏฐานหรืออะไรผมก้ไม่ซีเรียสนะ เพราะท่านอาจารย์ก้บอกเสมอว่า ธรรมะไม่มีชื่อ มันเกิดเองเราก้รู้ของเราเอง มันจะต้องทนตอนนั้นเราก้ต้องทนของเราเอง และตอนมันดับมันดับไปก่อนแล้วล่ะ แต่มันมีความสันตติของอารมณ์นั้นๆ อยู่ แล้วผมก้เข้าใจเพิ่มขึ้นว่ากำลังของสติสัมปชัญญะเป็นอย่างไร เรารู้ของเราเอง แต่ก้นั่นแหละ ถึงแม้คนที่รู้บาลีมาทั้งหมด และสามารถที่จะท่องจำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาได้หมด แต่ไม่สามารถทำความเข้าใจและละกิเลสทีละนิดๆ ได้ ก้ยังไม่ชื่อว่าเจริญรอยตามพระศาสดาไปได้ แต่วิถีทางที่ท่านอาจารย์สุจินต์สอนนั้น จริงๆ แล้วผมก้ยังไม่ได้บรรลุอะไรหรอกนะ แต่ผมมีความคิดเห็นว่า ผมมาถูกทางแล้ว คือ ฟังให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจ ก้ไม่ต้องปฏิบัติ แต่คนที่อาจจะไม่เข้าใจที่ท่านอาจารย์สอน แล้วไปปฏิบัติ ก้จะได้แค่เพียงความสงบนะ แต่ไม่เกิดปัญญา มันเป็นการนี้ความจริง เช่นคุณโกรธ แล้วไปนั่งสมาธิ หลังจากคุณนั่งสมาธิเสร็จแล้ว มีคนมาด่าคุณ ผมว่าสิ่งที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน มันจะโผล่ออกมา ทั้งใหญ่ รุนแรง และน่ากลัวกว่าเดิม ผมลองมาแล้ว ...แต่ถ้าเรารู้และเข้าใจตามความเป็นจริงว่ามันเป็นเพียงความจริงที่ปรากฏชั่วคราว ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ที่เราเข้าใจว่าเสียงด่า แต่มันก้ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่จริงๆ แล้วเราก้ยังคงโกรธอยู่ คนที่สะสมความโกรธไว้มาก ก้จะหายช้าหน่อย อาจเป็นเดือนเป็นปี แต่ถ้าฟังท่านอาจารย์สุจินต์บ่อยๆ ถ้ามีโอกาส แล้วเวลาที่เราเกิดโกรธขึ้นมา สติสัมปชัญญะจะกล้าแข็งมากขึ้นๆ เราจะสามารถปล่อยอารมณ์โกรธได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย ได้ผลจริงๆ ขอบอก


ความคิดเห็น 6    โดย pattarat  วันที่ 13 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ ใจจริงก็อยากจะไปร่วมรับฟังในสถานที่แห่งนี้ด้วยค่ะ

แต่บ้านอยู่ต่างจังหวัดไม่สะดวกในการเดินทาง จึงได้แต่ศึกษาและรับฟังทางอินเทอร์เนต


ความคิดเห็น 7    โดย khampan.a  วันที่ 14 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"...ถ้า มีความรู้ถูก มีความเห็นถูก ชีวิตก็จะเปลี่ยน จากการที่ไม่รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว

อะไรถูก อะไรผิด ก็จะทำให้ "พ้น" จากความประพฤติ ซึ่งเป็นเหตุที่นำทุกข์มาให้

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะแต่ละครั้ง ให้ทราบว่า

ประโยชน์ อยู่ที่ "ความเข้าใจ"

ไม่ใช่ประโยชน์ที่ ทำให้อยากได้ อยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อยากหมดกิเลส

แต่ไม่รู้อะไรเลย ..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านด้วยครับ


ความคิดเห็น 8    โดย wannee.s  วันที่ 14 พ.ค. 2555

ลาภอันประเสริฐเหนือสิ่งอื่นใดในชาตินี้

คือ โอกาสที่จะสะสมความรู้ ความเข้าใจในพระธรรม

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย wanipa  วันที่ 14 พ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ และขออนุโมทนาในบุญกุศลค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย ถังธรรม  วันที่ 14 พ.ค. 2555

"...ทุกท่านต้องมีความอดทนที่จะศึกษาให้เข้าใจธรรม

อดทนฟังและศึกษาเป็นหลายๆ ปี

แล้วก็ตลอดชีวิตด้วย"


ขออ้างเอาคำพูดท่าน อจ.สุจินต์ นะคะ

ใช่ค่ะต้อง...ตลอดชีวิต...ต้องทุกวัน...ทุกเวลา...

และทุกลมหายใจ เข้า...ออก

เพราะสิ่งที่ใช้เพิ่มบุญ...กุศลได้

คือร่างกายนี้เอง

ขออนุโมทนาค่ะ



ความคิดเห็น 11    โดย Graabphra  วันที่ 15 พ.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย jaturong  วันที่ 16 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย Jans  วันที่ 19 พ.ค. 2555

"ลาภอันประเสริฐเหนือสิ่งอื่นใดในชาตินี้ คือ โอกาสที่จะสะสมความรู้ ความเข้าใจในพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงไว้ เป็นการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัยอย่างแท้จริง" กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย raynu.p  วันที่ 19 พ.ค. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย ถังธรรม  วันที่ 21 พ.ค. 2555

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพรักยิ่ง.

ท่านเปรียบเสมือนแม่ในทางธรรมของดิฉันเลย เป็นทั้งครูในทางธรรม

และเป็นผู้มีพระคุณด้วย ท่านทุ่มเทเสียสละประโยชน์ส่วนตนอย่างแท้จริง

หาไม่ได้แล้วที่เก่งขนาดนี้ ถ้าท่านไม่สอนก็จะมีคนอีกเป็นล้านคน

หาที่พึ่งในทางธรรมไม่ได้ (มีเหมือนกันแต่อาจรู้ไม่หมดเหมือนท่าน)

ท่านเองพูดอย่างนี้มากี่ปี เทียบกับคนฟังแล้วความเสียสละห่างไกลกันซะเหลือเกิน

กว่าท่านจะได้มาสอนท่านต้องร่ำเรียนมามากมายนับไม่ถ้วน

ดิฉันเรียนอภิธรรมก็ยังไม่จบ ความเข้าใจในการปฏิบัติถือว่าเดินถูกทางแล้ว

มีธรรมะพระพุทธองค์ซึ่งผ่านการถ่ายทอดจากท่านอาจารย์เป็นที่พึ่ง

เรียนอยู่บ้าน ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ไปด้วย เหมือนสนิทกับท่านมานาน

แต่ท่านอาจารย์ไม่รู้จักลูกศิษย์อีกมากมายนับไม่ถ้วน

หลายๆ คนคงทำอย่างที่ดิฉันทำ โชคดีที่ศึกษาทางอินเตอร์เน็ต

โหลดไปฟังที่ทำงานด้วย ลงในมือถือด้วย ฟังก่อนนอนอีก ยามว่างอีก

เสียดาย MP3 บางชุดที่สมบูรณ์แบบไม่ให้โหลด

เพราะที่ฟังก็จะอธิบายตอบคำถามมากกว่า ไม่เป็นเรื่องยาวๆ

...กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงยิ่ง

ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่ท่านอาจารย์ได้ทำมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน

ขอให้คุณงามความดีที่ท่านได้ทำมาแล้ว กำลังทำ จะทำ

จงส่งให้ท่านไปถึงฝั่งพระนิพพานในชาตินี้ดวยเทอญ

สาธุ...ในคุณงามความดี ในบุญกุศลอันใหญ่ยิ่งที่หาค่าประมาณมิได้

ที่ท่านทำไว้หลายภพชาติ จวบจนถึงชาตินี้

(เสียสละเหมือนพระพุทธองค์เลยค่ะ เคารพรักท่านมากค่ะ)

----------------------------------------------------------------------------

ปรียา ปัญจะ

newpleaw@hotmail.com