ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๕
โดย khampan.a  15 ม.ค. 2566
หัวข้อหมายเลข 45481

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๕


~ บุคคลผู้ที่มีพระมหากรุณากว่าคนอื่นทั้งหมด ก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าสัตว์โลกมีความไม่รู้ มีความเห็นผิด เข้าใจผิดในธรรม เพราะฉะนั้น จึงทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรม เห็นได้เลยว่า พระธรรมมีประโยชน์ เมื่อมีความเข้าใจแล้วนำมาซึ่งสิ่งที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น ทั้งกาย วาจา และใจ
~ ประโยชน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมคือทรงเห็นว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้เขาเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีค่าที่สุดประเสริฐที่สุด คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรม แม้ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกลแสนไกล ก็เพื่อให้เขาได้ฟัง ทรงอนุเคราะห์ เพราะเหตุว่า ในสังสารวัฏฏ์ที่แล้วมาและในอนาคตไม่มีวันจบสิ้น ถ้าไม่มีการรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยที่จะทำให้ความไม่รู้หมดไป เพราะเกิดมาด้วยความไม่รู้แล้วก็ยังไม่รู้ ก็จะต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดต่อไป
~ เห็นค่าของพระรัตนตรัย เพราะว่า เป็นที่พึ่งจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว แต่ทุกชาติ เราไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกได้ด้วยตนเอง แต่ว่าเมื่อมีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงมีพระมหากรุณาแสดงความจริง และเมื่อมีโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริงในชาตินี้ นั่น ย่อมเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ซึ่งทุกคน ก็ไม่รู้ว่าจะมีเวลาอีกนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ทุกขณะที่ได้เข้าใจธรรม เป็นขณะที่มีค่าที่สุด เพราะเหตุว่า ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เหลือ
~ เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนยังมีโลภะ โทสะ โมหะ มีกิเลสทุกอย่างครบ เมื่อยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท (ละได้อย่างเด็ดขาด) และก็มีโอกาสของอกุศลที่จะเกิดบ่อยมาก เพราะฉะนั้น อกุศลทั้งหลายค่อยๆ เกิด ค่อยๆ สะสม ค่อยๆ มีกำลังเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดที่เคยมีศรัทธาแล้ว แล้วก็รู้ว่า ศรัทธาอ่อนลง ก็จะต้องรู้หนทางว่า ถ้ายังไม่คบหาสมาคมกับพระธรรมเหมือนเดิม อกุศลทั้งหลายมีกำลังเพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่าเปิดโอกาสให้อกุศลมีกำลัง
~ ถ้าเป็นอกุศลแล้ว ต้องกล้าออกจากอกุศลอย่างเร็วที่สุดด้วยความไม่ประมาท เพราะว่า ถ้าช้า ก็จะทำให้ออกจากอกุศลนั้นยากขึ้น จนในที่สุดก็อาจจะสายเกินไปที่จะออกจากอกุศลนั้นได้ และอาจจะเป็นอย่างนี้ทุกๆ ชาติ
~ ทุกขณะเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่อนัตตา เห็นก็เป็นอนัตตา ได้ยินก็เป็นอนัตตา คิดนึกก็เป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ไม่รู้ว่าเป็นอนัตตา จึงยึดถือว่าเป็นเรา
~ ถ้าไม่ได้ระลึกเลยว่า “ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใด ได้ทั้งนั้น” วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เป็นผู้ประมาทมัวเมา และเป็นการมีชีวิตอยู่ที่ในโลกนี้ อย่างไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระจริงๆ เพราะไม่ได้ถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือ กุศลประการต่างๆ พร้อมด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
~ เพียงแค่เห็นหน้า ก็ยังโกรธ แล้วถ้ามีมากกว่าการเห็นหน้า จะเป็นอย่างไร แย่แน่ๆ เลย จะไม่หนักกว่านี้หรือ? อกุศล ไม่เคยนำประโยชน์มาให้ใครเลยทั้งสิ้น ไม่มีใครเคยได้รับประโยชน์จากการโกรธ แม้แต่คนเดียว
~ น่าโกรธไหมคนอื่น ลองคิดดู? เป็นเพราะกรรมของเราเองหรือเปล่า ที่ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่ไม่น่าพอใจ อย่าคิดว่าจากคนอื่น
~ ถ้ามีความเป็นเพื่อน ไม่เดือดร้อนเลยสักขณะเดียว ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน ที่ไหน เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนใจใครได้ แต่ใจของเราที่ไม่เป็นศัตรูไม่คิดร้ายต่อใคร ขณะนั้นเราจะไม่มีศัตรูเลย เพราะว่าเราไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร
~ มงคล คือ เหตุแห่งความเจริญ ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ไม่ได้อยู่ที่วันเวลา แต่อยู่ที่สภาพจิตที่เป็นกุศลและมีการกระทำทางกาย ทางวาจาที่ดีงาม ของแต่ละบุคคล
~ เกิดมาแล้วจะทำอะไรดี ระหว่าง ดี กับ ชั่ว? เมื่อเป็นคนดีแล้ว แต่ยังไม่รู้อะไร จึงศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ นี้คือที่มาของ "ทำดีและศึกษาพระธรรม" ซึ่งจะทำให้ชีวิตเป็นชีวิตที่คุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
~ ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว เราก็จะเห็นประโยชน์มหาศาลที่เกิดมาแล้วก็ตายไป ก่อนตาย มีโอกาสได้เข้าใกล้พระธรรม ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความเข้าใจธรรมซึ่งเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะฉะนั้น อะไรคงไม่มีค่าที่จะทำให้เราต้องกลายเป็นคนที่ไม่กล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสิ่งซึ่งไม่ควรที่จะให้ถูกทำลายไปด้วยความไม่รู้
~ ฟังพระธรรมด้วยความเคารพที่จะไตร่ตรองจนกระทั่งได้ประโยชน์ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ให้บุคคลอื่นได้รู้ตาม เพราะฉะนั้น ความเข้าใจถูกสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจ ไม่มีเหตุผลที่ถูกต้อง สมควรไหม?
~ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เริ่มเข้าใจ ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ละคำที่ได้ฟังแล้ว ต้องไตร่ตรองเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แสดงว่า ต้องมีจริงทุกหนทุกแห่ง อะไรที่มีจริง เป็นธรรมทั้งหมด
~ ความเห็นถูก แม้เพียงเริ่ม วันหนึ่งจะเพิ่มขึ้นมากไหม ถ้าเห็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งว่า เพราะความเห็นถูกเท่านั้นที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างละจากสิ่งที่ไม่ดีได้ ถ้าไม่มีความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ยังเห็นว่า กิเลส ดี มีเงินมากๆ ดี ทุจริตก็ไม่เห็นเป็นไร แล้วอย่างนี้จะแก้ไขอะไรได้ เพราะฉะนั้น ก็เริ่มต้นจากแต่ละหนึ่งคนที่มีความเห็นที่ถูกต้อง เมื่อรวมกัน ก็มากขึ้น


~ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน วัด หรือ ราชการ ก็คือแต่ละหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจถูกก็สามารถที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิด และต้องมีความจริงใจ ว่า จะแก้ไหม ถ้ารู้ว่าผิด จะแก้ไหม จริงๆ ก็คือ ไม่ใช่เขาคนนั้นที่คิด แต่ต้องเป็นปัญญา ว่า มีกำลังความเข้าใจที่ถูกต้องแค่ไหน ถ้ามีน้อยก็ไม่อยากจะแก้ แต่ถ้ามีมากจริงๆ เข้าใจพระธรรมจริงๆ ไม่มีอะไรจะมากั้นความหวังดีหรือความตั้งใจจริงซึ่งเป็นประโยชน์ ไม่ใช่กับตัวเองเท่านั้น แต่ยังกับคนอื่น ทั้งประเทศ ทั้งโลก
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งของผู้ที่เกิดมาที่อยู่ในสังสารวัฏฏ์
~ สัตว์โลกเดี๋ยวก็เสื่อมลาภ เดี๋ยวก็ได้ลาภ ใครนำมาให้ อาจจะคิดว่าคนอื่นนำมาให้ แต่จริงๆ แล้ว กรรมของตนที่ได้กระทำแล้วนำมา มากน้อยตามปัจจัยที่ได้สะสมมาทั้งสิ้น
~ กัลยาณปุถุชน คือ คนที่มีคุณความดีที่ได้ศึกษาพระธรรมแล้วรู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว ปัญญาที่เข้าใจพระธรรมก็จะนำพาชีวิตไปในทางที่เป็นประโยชน์ แล้วค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จนกว่าความรู้จะเพิ่มขึ้น
~ อกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นอกุศล สิ่งที่ไม่ดี แม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ดี ไฟแม้เล็กน้อย ก็ร้อน เกลือแม้เล็กน้อย ก็เค็ม สิ่งที่ไม่สะอาด แม้เล็กน้อย ก็เป็นสิ่งที่ไม่สะอาด
~ ต้องตายแน่ อาจจะเป็นเดี๋ยวนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ วันไหนๆ ก็ได้ เตรียมตัวตาย ก็คือ เดี๋ยวนี้ทำดี ต้องเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะมิฉะนั้น แล้ว ก็จะมีแต่อกุศลเกิดพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้ากุศลไม่เกิด อกุศล ก็เกิด
~ ไม่มีสักขณะเดียวที่ไม่ใช่ธรรมหรือว่าพ้นจากธรรม กว่าจะถึงความเข้าใจธรรม ก็จะต้องเป็นผู้ที่อดทน เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่มั่นคง ว่า ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำเหล่านี้ ไม่มีวันในสังสารวัฏฏ์ที่จะรู้ความจริงได้ ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม

~ ธรรมเดี๋ยวนี้ คืออะไร ธรรมไม่ใช่อยู่ในหนังสือ ไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ขณะที่ได้ยิน ก็เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เกิดขึ้นให้รู้ว่ามีจริง
~ เมื่อมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ก็จะเพิ่มความลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าใครฟังธรรมแล้วรู้สึกว่า ง่าย คนนั้นก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าคำที่ได้ยินมีค่ามากในสังสารวัฏฏ์ เพราะทำให้จากที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) จะพาไปสู่กิเลส แต่ปัญญาจะพาออกจากกิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว อะไรๆ ก็ไม่สามารถที่จะนำออกจากกิเลสได้ ด้วยเหตุนี้ กิเลสจะแก้กิเลส เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี โดยเฉพาะ คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องขึ้น
~ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แค่นี้ก็จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ความเข้าใจที่สะสมมาจากการที่ได้ฟังมามาก ก็สามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริง เข้าใจอย่างมั่นคง ถ้าความสามารถถึงขั้นประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม พร้อมเมื่อไหร่ ก็ประจักษ์แจ้งเมื่อนั้น เพราะว่าความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงตามที่ได้ฟัง ทุกสมัย ทุกกาล
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ตรัสว่าธรรมลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น คนอื่นบอกว่า ธรรม ไม่ลึกซึ้ง ง่ายๆ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? พูดคำของพระองค์หรือเปล่า?
~ กัลยาณมิตร หมายถึง มิตรที่ดี ผู้หวังดีต่อผู้อื่น เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งเป็นความเข้าใจของบุคคลนั้นนั่นเองที่จะละกิเลสของบุคคลนั้นเอง ใครๆ ก็ไปละความไม่รู้ให้ใครไม่ได้ นอกจากคำที่กล่าวถึงความจริงที่สามารถเข้าใจได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เพียงแค่คำว่าธรรม ต้องมั่นคง เปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรม เป็นธรรม เป็นอื่นไม่ได้



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๔


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 15 ม.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย petsin.90  วันที่ 15 ม.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย capacitor4  วันที่ 15 ม.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและกราบยินดีในกุศลอ.คำปั่นค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย Papsi  วันที่ 15 ม.ค. 2566

ด้วยธรรมที่ท่านให้ มานาน แล้วนา คงมั่นอีกคณาจารย์ พรักพร้อม สนทนาเกิดมากวาร ไม่หยุด นั่นแล กราบอาจารย์สุจินต์น้อม มั่นเกล้าตลอดกาล


ความคิดเห็น 5    โดย Jans  วันที่ 15 ม.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย suporn71  วันที่ 15 ม.ค. 2566

กราบเท้าท่านอจ.สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ...กราบอนุโมทนาอจ.คำปั่น ค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย jaturong  วันที่ 16 ม.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย เมตตา  วันที่ 16 ม.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และยินดียิ่งในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย เมตตา  วันที่ 16 ม.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และยินดียิ่งในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ม.ค. 2566

กัลยาณมิตร หมายถึง มิตรที่ดี ผู้หวังดีต่อผู้อื่น เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งเป็นความเข้าใจของบุคคลนั้นนั่นเองที่จะละกิเลสของบุคคลนั้นเอง ใครๆ ก็ไปละความไม่รู้ให้ใครไม่ได้ นอกจากคำที่กล่าวถึงความจริงที่สามารถเข้าใจได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 11    โดย Lai  วันที่ 21 ม.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย มังกรทอง  วันที่ 18 ก.ย. 2568

ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา