เกิดความเมตตา ต่ออกุศลเจตสิกและทุกขเวทนาทางใจ ... ทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อตรง จะเกิดก็เกิดตามประสาของเขา เขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใคร ... ผมว่าน่าเอ็นดู เขาซื่อสัตย์ซื่อตรงในหน้าที่ แม้ความหลงที่ทำให้เกิดความหลงในทุกขเวทนา เขาก็ทำหน้าที่ตามหน้าที่ของเขา ... จึงมีคำถามว่า
1) ความเมตตา สามารถเกิดกับนามธรรมได้หรือไม่?
2) เมตตาต่อตนเอง ให้อภัยตน ในเรื่องที่ผิดพลาดไปแล้ว ใช่ความรักตนหรือไม่?
3) เข้าใจว่าความรักตนคือ โลภะและสักกายทิฏฐิ ถูกต้องไหม?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจ เมตตาคืออะไร เมตตา เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อน มีความหวังดี มีความปรารถนาดี ไม่มีความหวังร้ายหรือมุ่งร้ายต่อผู้อื่น ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เมตตาย่อมมีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์
ข้อความใน พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๕๒๙ ได้อธิบายความเป็นจริงของเมตตา ดังนี้
“เมตตา มีความเป็นไปโดยอาการที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเป็นลักษณะ มีการนำเข้าไปซึ่งประโยชน์เกื้อกูลเป็นกิจ มีการกำจัดความโกรธ ความอาฆาตเป็นอาการปรากฏ มีการมองเห็นสิ่งที่น่าพอใจของสัตว์ทั้งหลาย (คือไม่เป็นศัตรู) เป็นเหตุใกล้ให้เกิดเมตตา นี้มีการสงบพยาบาทเป็นสมบัติ มีการเกิดขึ้นแห่งเสน่หา (ความติดข้อง หรือ โลภะ) เป็นวิบัติ”
ดังนั้น จากประเด็นคำถาม
1) ความเมตตา สามารถเกิดกับนามธรรมได้หรือไม่?
เมตตา เป็นนามธรรม เป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นเป็นไป มีสัตว์บุคคล เป็นอารมณ์ เมตตาได้ทั้งต่อคนดีและคนคนไม่ดี นี้คือ ความเป็นจริงของเมตตา
2) เมตตาต่อตนเอง ให้อภัยตน ในเรื่องที่ ผิดพลาดไปแล้ว ใช่ความรักตนหรือไม่?
โดยคำพูด จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ความเป็นจริงของธรรม ไม่เปลี่ยน ตามความเป็นจริงแล้ว เมตตา ต้องต่อคนอื่น หรือ แม้กระทั่ง การให้อภัย ก็เป็นการให้ซึ่งความไม่มีภัยแก่ผู้อื่น ไม่ถือโทษโกรธคนอื่น สำหรับการเห็นโทษของตนเองแล้วแก้ไข ไม่กระทำผิดอย่างนั้นอีก นั่นเป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง เป็นการรักตนอย่างถูกต้องจริงๆ เพราะรักตน ต้องไม่ทำชั่ว ไม่สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตน
3) เข้าใจว่า ความรักตน คือ โลภะและสักกายทิฏฐิ ถูกต้องไหม?
ความรักหรือความติดข้องมีจริง มีทั้งที่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย และไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย ความเป็นไปของความติดข้อง เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่ถ้ากล่าวถึงความรักตนแล้ว แสดงถึงความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมฝ่ายดี เป็นความประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ไม่ประพฤติทุกจริต ไม่ทำชั่วโดยประการทั้งปวง ตามข้อความใน พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า ๔๒๖ ปิยสูตร ดังนี้
"ชนบางพวกย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ พวกเหล่านั้นชื่อว่ารักตน ถึงแม้พวกเขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่รักตน ถึงเช่นนั้นพวกเหล่านั้นก็ชื่อว่ารักตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่าชนผู้รักใคร่กันย่อมทำความดีความเจริญให้แก่ชนผู้ที่รักใคร่กันได้โดยประการใด พวกเหล่านั้นย่อมทำความดีความเจริญแก่ตนด้วยตนเองได้โดยประการนั้น ฉะนั้น พวกเหล่านั้นจึงชื่อว่ารักตน"
พระธรรม ละเอียดอย่างยิ่ง จึงต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณสุระเชษฐ์ และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชนบางพวกย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ พวกเหล่านั้นชื่อว่ารักตน ถึงแม้พวกเขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่รักตน ถึงเช่นนั้นพวกเหล่านั้นก็ชื่อว่ารักตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่าชนผู้รักใคร่กันย่อมทำความดีความเจริญให้แก่ชนผู้ที่รักใคร่กันได้โดยประการใด พวกเหล่านั้นย่อมทำความดีความเจริญแก่ตนด้วยตนเองได้โดยประการนั้น ฉะนั้น พวกเหล่านั้นจึงชื่อว่ารักตน (ปิยสูตร)
ยินดีในกุศลจิตครับ