ความจริงแห่งชีวิต [172] ชื่อว่า บัญญัติ เพราะรู้ได้ ด้วยประการนั้นๆ
โดย พุทธรักษา  29 ก.ย. 2552
หัวข้อหมายเลข 13770

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ฉะนั้น พระ​อร​หัน​ต​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทรง​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์​หรือ​เปล่า ต้อง​มีการ​ฟัง​พระธรรม​นั้น​ต้อง​พิจารณา​เหตุผล​ของ​สภาพ​ธรรม​ประกอบ​กัน​ด้วย อารมณ์​มี ๒ อย่าง คือ ปรมัตถ​ธรรมและ​บัญญัติ ขณะ​ใด​ที่​ไม่​มี​ปรมั​ตถ​ธรรม​เป็น​อารมณ์ ขณะ​นั้น​ต้อง​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์ ที่​กล่าว​ยํ้าบ่อยๆ ก็​เพื่อ​เกื้อกูล​ให้​สติ​ระลึก​ลักษณะ​ของ​สภาพ​ธรรม​ที่​กำลัง​ปรากฏ​ให้​ถูก​ต้อง​ว่า ใน​ขณะ​ที่​มี​สิ่ง​ที่​กำลัง​ปรากฏ​ทาง​ตา​เป็น​สีสัน​วัณณะ​ต่างๆ นั้น เมื่อ​สี​แยก​จากมหาภูต​รูป​ไม่​ได้ สี​ที่​เกิด​กับ​มหาภูต​รูป​จึง​ปรากฏ​ให้​เห็น​เป็น​บัญญัติ​ต่างๆ ขึ้น เมื่อ​สติปัฏฐานเกิด​ก็​แยก​ระลึก​พิจารณา​สังเกต​รู้​ได้​ถูก​ต้อง​ว่า​ สิ่ง​ที่​กำลัง​ปรากฏ​เป็น​สีสัน​ต่างๆ นั้น​เป็น​สภาพ​ธรรม​ชนิด​หนึ่ง​ที่​ปรากฏ​ทาง​ตา ​และ​ขณะ​ที่​รู้​ว่า​สิ่ง​ที่​ปรากฏ​ทาง​ตา​นั้น​เป็น​อะไร ​ก็​เป็น​วิถี​จิต​ที่​รู้ทาง​มโน​ทวาร

เมื่อ​ได้​ศึกษา​เข้าใจ​แล้ว​ก็​จะ​เห็น​ได้​ว่า ใน​ชีวิต​ประจำ​วัน​ของ​ทุก​สัตว์​บุคคลฝ​นั้น บาง​ขณะ​จิต​มีปรมั​ตถ​ธรรม​เป็น​อารมณ์ ​และ​บาง​ขณะ​ก็​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์​สืบ​ต่อ​กัน เช่น ทาง​ตา​ก็​ไม่​ได้​มีแต่​จักขุ​ทวาร​วิถี​จิต​ซึ่ง​มี​แต่​สี​เป็น​อารมณ์​เท่านั้น เมื่อ​จักขุ​ทวาร​วิถี​จิต​ดับ​หมด​แล้ว ภวังคจิตเกิด​คั่น​แล้ว มโน​ทวาร​วิถี​จิต​ก็​เกิด​ขึ้น​รับ​รู้​สี​ต่อ​จาก​จักขุ​ทวาร​วิถี เมื่อ​มโน​ทวาร​วิถี​จิต​วาระ​แรกดับ​หมด​แล้ว ภวังคจิต​เกิด​คั่น​แล้ว มโน​ทวาร​วิถี​จิต​วาระ​ต่อ​ไป​ก็​เกิด​ขึ้น ​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์ มิ​ฉะนั้น​แล้ว​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ได้​อย่างไร ถ้า​ไม่รู้​บัญญัติ​ว่า​เป็น​โต๊ะ เป็น​เก้าอี้ เป็น​อาหาร เป็น​ถ้วย เป็น​จาน เป็น​ช้อน ฯลฯ ก็​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ไม่​ได้​เลย สัตว์​ดิรัจฉาน​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์​ไหม ต้อง​มีเหมือน​กัน ถ้า​ไม่มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์ แม้แต่​สัตว์​ดิรัจฉาน​ก็​ย่อม​มี​ชีวิต​อยู่​ไม่​ได้ เพราะ​ไม่รู้​ว่าอะไร​เป็น​อาหาร อะไร​ไม่ใช่​อาหาร

ผู้​ที่​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์ เช่น พระ​อร​หัน​ต​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า พระ​อรหันต์​ทั้ง​หลาย พระอนาคามี​บุคคล พระ​สก​ทา​คามี​บุคคล พระ​โสดาบัน​บุคคล และ​ปุถุชน ต่าง​กัน​อย่างไร​หรือ​ไม่ต่าง​กัน​เลย ผู้​ที่​เป็น​พระ​อริย​เจ้า​กับ​ผู้​ที่​เป็น​ปุถุชน​ต่าง​กัน​ที่​ปัญญา ปุถุชน​ที่​ไม่รู้​เรื่อง​ปรมั​ตถ​ธรรม​เลย​ก็​ยึดถือ​ว่า​บัญญัติ​เป็น​สิ่ง​ที่​จริง แต่ผู้​ที่​รู้​แจ้ง​อริย​สัจ​จ​ธรรม​แล้ว​รู้​ว่า​ธรรม​ทั้ง​หลายเป็น​อนัตตา สภาพ​ธรรม​ที่​เกิด​ขึ้น​ปรากฏ​ทาง​ตา ทาง​หู ทาง​จมูก ทาง​ลิ้น ทาง​กาย ทาง​ใจ​ไม่เที่ยง และ​บัญญัติ​ไม่​ใช่​ปรมั​ตถ​ธรรม ที่​ชื่อ​ว่า​บัญญัติ​นั้น​เพราะ​ให้​รู้​ได้​ด้วย​ประ​กา​รนั้นๆ ฉะนั้น บัญญัติ​จึง​เป็น​อารมณ์​ของ​จิต​และ​เจตสิก​ ขณะ​รู้​ความ​หมาย หรือ​อรรถ​ของ​สิ่ง​ที่​ปรากฏ ถ้าไม่มี​จิต เจตสิก มี​บัญญัติ​ได้​ไหม สภาพ​ธรรม​เป็น​สิ่ง​ที่​พิจารณา​ได้​ตาม​เหตุผล ถ้า​ไม่มี​จิต เจตสิก จะ​มี​บัญญัติ​ไม่​ได้ ถ้า​มี​แต่​รูป​ธรรม​เท่านั้น​ไม่มี​นามธรรม​เลย ไม่มี​จิต เจตสิก​เลย จะ​มีบัญญัติ​ไหม ไม่มี เพราะ​ว่า​รูป​ไม่ใช่​สภาพ​ที่​รู้​อารมณ์ จิต​และ​เจตสิก​เป็น​สภาพ​ที่​รู้​อารมณ์ ถ้าจิต​และ​เจตสิก​ไม่​เกิดก็​ไม่มี​การ​รู้​บัญญัติ การ​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์​ของ​ผู้​ที่​เป็น​พระ​อริยบุคคลกับ​ผู้​ที่​ไม่ใช่​พระ​อริยบุคคล​นั้น ต่าง​กัน​ที่​ผู้​ที่​ไม่ใช่​พระ​อริยบุคคล​ยึดถือ​บัญญัติ​ว่า​เป็น​สิ่ง​ที่​มีจริง แต่​ผู้​ที่​เป็น​อริยบุคคล​รู้​ว่า​จิต​ขณะ​ใด​มี​ปรมั​ตถธรรม​เป็น​อารมณ์ ​และ​จิต​ขณะ​ใด​มี​บัญญัติเป็น​อารมณ์

ขณะ​ใด​ที่​จิต​รู้​บัญญัติ คือกำลัง​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์ ขณะ​นั้น​เป็น​มิจฉา​ทิฏฐิ​หรือ​เปล่า แล้วแต่​ประเภท​ของ​จิต​ที่​กำลัง​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์ พระ​อริยบุคคล​ทั้ง​หลาย​มี​บัญญัติ​เป็นอารมณ์ แต่​พระ​อริยบุคคล​ทั้ง​หลาย​ไม่มี​มิจฉา​ทิฏฐิ เพราะ​พระ​อริยบุคคล​ทั้ง​หลาย​ดับ​ทิฏฐิเจตสิก​เป็น​สมุจ​เฉท ถ้า​ไม่​พิจารณา​โดย​ละเอียด​ก็​จะ​ไม่รู้​ว่า​โลภ​มูล​จิต​ทิฏฐิ​คต​สัมปยุต​ต์​กับ​โลภ​มูล​จิต​ทิฏฐิ​คต​วิปป​ยุต​ต์​ต่าง​กัน​อย่างไร โลภ​มูล​จิต​ทิฏฐิ​คต​วิปป​ยุต​ต์ยินดี​พอใจ​ใน​อารมณ์​ทุกอย่าง พอใจ​สิ่ง​ที่​ปรากฏ​ทาง​ตา พอใจ​เสียง​ที่​ปรากฏ​ทาง​หู และ​บัญญัติ​ของ​เสียง​ที่​ได้ยิน​ทาง​หู​ด้วย ทาง​จมูก ทาง​ลิ้น ทาง​กาย ทาง​ใจ โดย​นัย​เดียวกัน​เป็น​ชีวิต​ปกติ​ประจำวัน ขณะ​ใด​ที่​ไม่มีความ​คิด​เห็น​ผิด​ใน​เรื่อง​สภาพ​ธรรม ขณะ​นั้น​ไม่ใช่​โลภ​มูล​จิต​ทิฏฐิ​คต​สัมปยุต​ต์

พระ​โสดาบัน​บุคคล​และ​พระ​สก​ทา​คามี​บุคคล​ มี​โลภ​มูล​จิต​ทิฏฐิคต​วิปป​ยุต​ต์ ​ซึ่ง​เป็น​ไป​ในอารมณ์​ทั้ง ๖ พระ​อนาคามี​บุคคล​มี​โลภ​มูล​จิต​ทิฏฐิ​คต​วิปป​ยุต​ต์​ใน​ธัม​มา​รมณ์ เพราะ​ดับ​ความยินดี​พอใจ​ใน​รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพ​พา​รมณ์ ซึ่ง​เป็น​กาม​อารมณ์​เป็น​สมุจ​เฉท ส่วน​พระอรหันต์​นั้น แม้ว่า​มี​อารมณ์ ๖ แต่​ก็​ไม่มี​ทั้ง​กุศล​ธรรม​และ​อกุศล​ธร​รม​ใดๆ ทั้ง​สิ้น เพราะ​พระอรหันต์​ดับ​กิเลส​และ​อกุศล​ธรรม​ทั้งหมด​เป็น​สมุจ​เฉท ผู้​ที่​ไม่ใช่​พระ​อรหันต์​นั้น ถึง​แม้​จะ​รู้ลักษณะ​ของ​อารมณ์​ตาม​ความ​เป็น​จริง​ว่า ขณะ​ใด​เป็น​ปรมั​ตถ​ธรรม ขณะ​ใด​เป็น​บัญญัติ แม้​กระนั้น เมื่อ​ยัง​ไม่​ได้​ดับ​กิเลส​หมด ​จึง​ยัง​มี​ปัจจัย​ที่​จะ​ให้​เป็นสุข เป็น​ทุกข์ ยินดี ยินร้าย​ไป​ตามปรมั​ตถ​อารมณ์​และ​บัญญัติ​อารมณ์​ตาม​ขั้น​ของ​บุคคล​นั้นๆ

ฉะนั้น จึง​ต้อง​พิจารณา​โดย​ละเอียด​ว่า ขณะ​ใด​เป็น​มิจฉาทิฏฐิ ขณะ​ที่​ยึด​มั่น​ใน​บัญญัติ​ต่างๆ ด้วย​ความ​เห็น​ผิด​ว่า สิ่ง​ที่​ไม่​ใช่​ปรมั​ตถธรรม​นั้น​มี​จริง ใน​ขณะ​นั้น​เป็น​สักกาย​ทิฏฐิ เมื่อ​บัญญัติไม่​ใช่​ปรมั​ตถ​ธรรม แต่​เห็น​ผิด​ ยึดถือ​บัญญัติ​ว่า​เป็น​สิ่ง​ที่​เป็น​ตัว​ตน​จริงๆ เป็น​สัตว์​บุคคล เป็นวัตถุ​สิ่ง​ต่างๆ จริงๆ จึง​เป็น​ความ​เห็น​ผิด เป็น​สักกายทิฏฐิ เมื่อ​สักกาย​ทิฏฐิ​ยัง​ไม่​ดับ​เป็น​สมุจเฉท ก็​ย่อม​จะ​เป็น​ปัจจัย​ให้​เกิด​ความ​เห็น​ผิด​ประการ​ต่างๆ เพิ่ม​ขึ้น​อีก เช่น เห็น​ว่า​กรรม​ไม่มี ผล​ของ​กรรม​ไม่มี เห็น​ว่า​มี​พระเจ้า​ผู้​ยิ่ง​ใหญ่​ผู้ทรง​สร้าง​โลก​และ​สัตว์​บุคคล​ทั้ง​หลาย​ทั้ง​ปวง เมื่อ​ไม่รู้​ปัจจัย​ที่​ทำให้​สังขาร​ธรรม​ทั้ง​หลาย​เกิด​ขึ้น ก็​ทำให้​เกิด​ความ​เห็น​ผิด​ต่างๆ แต่​ใน​ขณะใด​ก็ตาม​ที่​จิต​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์ ขณะ​นั้น​ไม่ใช่​มี​มิจฉา​ทิฏฐิ​ทุก​ครั้ง เพราะ​มิจฉาทิฏฐิ​ต้องเป็น​ขณะ​ที่​ยึด​มั่น​ใน​ความ​เห็น​ผิด​ต่างๆ


โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จัดพิมพ์เผยแพร่ โดย คณะกรรมการ ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ครบ ๗๕ พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕

ขอเชิญอ่านหรือดาวน์โหลดหนังสือ ...

ปรมัตถธรรมสังเขป

ขออนุโมทนาขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ