ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๑
โดย khampan.a  15 มิ.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 50182

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๑



~ ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว เราก็จะเห็นประโยชน์มหาศาลที่เกิดมาแล้วก็ตายไป ก่อนตาย มีโอกาสได้เข้าใกล้พระธรรม ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความเข้าใจธรรมซึ่งเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะฉะนั้น อะไรคงไม่มีค่าที่จะทำให้เราต้องกลายเป็นคนที่ไม่กล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสิ่งซึ่งไม่ควรที่จะให้ถูกทำลายไปด้วยความไม่รู้
~ ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีกว่าจะมีแต่ละคำให้เราได้เข้าใจ เพื่อตัวเราที่จะไม่เป็นอกุศล ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลงสารพัดอย่างตั้งแต่เล็กน้อยที่สุดจนถึงใหญ่ที่สุด การฟังพระธรรม ก็เป็นบุญ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ความดี ถ้าเข้าใจ เมื่อไหร่ก็เกิดได้ คิดดีกับคนอื่นได้ไหม? แค่นั้นก็เป็นบุญ ไม่ใช่คิดร้ายกับคนอื่น
~ ธรรม คือ ขณะนี้ตามความเป็นจริง เป็นสัจจธรรม ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนสภาพธรรมในขณะนี้ให้เป็นอย่างอื่นด้วยได้เลย ให้เป็นอย่างอื่น ให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ด้วย ก็ไม่ได้ ธรรมต้องเป็นธรรม กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน ทั้งหมดก็คือเป็นธรรม
~ การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด
~ จุดประสงค์ของการฟัง คือ เพื่อละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็หลอกตัวเอง เข้าใจว่าไม่มีกิเลสแล้ว ไม่รู้อะไรสักอย่าง ก็เข้าใจว่ารู้แล้วมาก กำลังจะเป็นพระอริยบุคคลหรืออะไรอย่างนั้น ก็ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าธรรมเป็นเรื่องที่ตรง
~ จริงๆ แล้ว เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้มานานเท่าไหร่ แค่วันนี้ความไม่รู้ก็มาก แล้วถอยย้อนไปอีกเท่าไหร่ ความไม่รู้จะมากสักแค่ไหน แล้วอะไรจะไปละความไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ความรู้ และความรู้จะเกิดขึ้นทันทีมากมายมหาศาลไม่ได้ ต้องเป็นความจริงใจความตรงและความเห็นถูกว่าถูกคือถูก ผิดคือผิด ถ้ายังเห็นว่าผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงว่าทั้งหมดที่มี ไม่ใช่เรา แล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้นโดยละเอียดอย่างยิ่งในขณะนี้ตามปกติ เพราะว่าทรงแสดงหนทางที่จะทำให้ละความไม่รู้แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงจนสามารถที่จะดับความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
~ ให้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ต้องไม่ลืม ให้ไม่ใช่รับ ให้คือให้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ให้สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ให้ทำไม ใช่ไหม? แต่เมื่อสิ่งนั้นเป็นประโยชน์จึงสมควรที่จะให้ ด้วยเหตุนี้ต้องรู้สภาพของจิตว่า ขณะนั้นเป็นจิตซึ่งไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่สามารถที่จะเห็นแก่คนอื่นสละให้เขาได้
~ ให้อะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการให้ความเข้าใจให้ความรู้ในสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าไม่มีคนบอกจะรู้ไหมว่า มีสิ่งที่ประเสริฐกว่าการให้อื่นๆ ด้วย ต่อเมื่อได้ฟังแล้ว จึงได้มีความเข้าใจว่า ประเสริฐจริงๆ ที่ผู้ให้ ให้สิ่งซึ่งคนอื่นให้ไม่ได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำที่ตรัสแล้วเป็นที่พึ่ง ที่จะทำให้คนที่ได้ฟังรู้คุณค่ามหาศาล
~ ทานสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดคือธรรมทาน ให้คนอื่น ไม่รู้จักกันก็ได้ ใช่ไหม? แต่ว่าพร้อมที่จะให้เพราะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ไม่เลือกว่าจะต้องเป็นใครทั้งนั้น แต่ก็เห็นประโยชน์ ที่ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังสามารถเข้าใจถูก ผู้นั้นมีจิตอนุเคราะห์ มีความหวังดีเป็นมิตรที่หวังดีที่จะให้เขาได้รับประโยชน์สูงสุดในสังสารวัฏฏ์คือได้เข้าใจคำจริง
~ การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความต้องการ กับ การกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยการสละเพื่อประโยชน์ของคนอื่น ต่างกันมาก
~ ชีวิตประจำวันเป็นเครื่องส่องที่ละเอียดมาก ที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจธรรมแค่ไหน คนที่เคยพูดว่าต้องโกรธไปจนตาย ไม่อภัยไปจนตาย แสดงความเข้าใจธรรมแค่ไหนหรือเปล่า เปลี่ยนได้เมื่อมีความเข้าใจ เพราะไม่ใช่เราเปลี่ยน แต่ความเข้าใจต่างหากที่รู้ว่าอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์
~ ไม่ประมาทความดีแม้เพียงขณะเดียว เพราะว่าถ้าขณะนั้นกุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิดเพิ่มแล้ว เพราะฉะนั้น จึงเริ่มเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย นั่นเป็นเหตุที่จะทำให้ชีวิตประจำวัน ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น ดีไหม? เป็นประโยชน์ ก็ดี
~ เห็นกำลังของกิเลสไหม ความดีแท้ๆ ของคนอื่น สรรเสริญไม่ได้ กล่าวไม่ได้ กิเลสอกุศลทำให้ปกปิดความดีของคนอื่น แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความดีของคนอื่น จะกล่าวอะไรถึงไม่ถูกถาม
~ เมื่อเห็นใจในการกระทำที่พลั้งพลาดในความพลั้งพลาดของบุคคลนั้น ก็ไม่ควรที่จะให้ล่วงรู้ถึงบุคคลอื่น แต่ว่าควรที่จะได้ช่วยให้เขาเห็นว่า ควรที่จะประพฤติในสิ่งที่ถูก ในสิ่งที่ควรอย่างไร แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงความเสียหายของบุคคลนั้นให้คนอื่นรู้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ขณะนั้นก็เป็นความเมตตา เป็นความกรุณา เป็นความเห็นใจ เป็นกุศลจิตในขณะนั้น
~ ความโกรธเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ฉันใด ความไม่โกรธก็เกิดขึ้นเพราะการอบรมเจริญเหตุปัจจัยที่จะไม่โกรธ ฉันนั้น ถ้าเป็นไปไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จะไม่ทรงสอน จะไม่ทรงแสดง เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงธรรมด้วยประการทั้งปวง ที่จะอุปการะเกื้อกูลประโยชน์แก่ผู้ประพฤติตาม คือ ไม่โกรธ จึงชื่อว่า ทำตามคำสอนของพระองค์
~ เรื่องของคำพูด ต้องเป็นเรื่องระวังจริงๆ และให้เป็นประโยชน์จริงๆ มิฉะนั้นท่านไม่ทราบเลยว่า จะเกิดความเสียหายกับคนอื่นมากน้อยสักแค่ไหน อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตก็ได้ อาจจะมีเรื่องใหญ่โตร้ายแรงเกิดขึ้นก็ได้ จากคำพูดเพียงไม่กี่คำโดยไม่ระวังของท่าน
~ ธรรมทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะในชีวิตประจำวันจริงๆ ของแต่ละคนซึ่งหลากหลายมาก แสดงความเป็นอนัตตาซึ่งถูกปกปิดไว้มิดชิดด้วยความเป็นอัตตา กว่าจะปรากฏความเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้
~ ความเข้าใจค่อยๆ เกิดขึ้น กุศลทั้งหลายค่อยๆ ปรุงแต่งเป็นบารมีต่างๆ เพราะฉะนั้น ขาดบารมีไม่ได้เลย อยู่ๆ จะให้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้ในเมื่ออกุศลเต็มหมดเลยมืดหมดเลยได้อย่างไร
~ แต่ละคนก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ชีวิตของใครจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สุขสบาย ทุกข์ยาก ลำบาก มากน้อยสักเท่าใด จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทั้งหมดก็ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นจริงๆ
~ การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไปโลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวันนี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไหน ระหว่างทางถูก กับ ทางผิด
~ ความกระวนกระวายที่ไม่จบสิ้น เมื่อไรจะจบสักที ลองคิดดูวันนี้อยากได้อะไร พรุ่งนี้จะหมดความอยากได้ไหม หรือถึงแม้ว่าจะเป็นพรุ่งนี้ ก็ยังมีความอยากได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกี่ภพกี่ชาติก็ตาม
~ ความไม่รู้ มากมาย ถ้าไม่ได้สะสมการเห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ว่า อะไรเกิด แม้แต่เกิดก็ไม่รู้ว่าอะไร คิดก็ไม่รู้ว่าอะไร สุขหรือทุกข์ก็ไม่รู้ว่าอะไร สิ่งที่พอใจ ไม่พอใจ ก็ไม่รู้อะไร เป็นอย่างนี้ไปตลอดในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะห้ามการเกิดดับของสภาพธรรมไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา
~ การฟังพระธรรมก็คือการเคารพอย่างยิ่งในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นเราจะไม่มีโอกาสได้ยินคำว่า ธรรมเป็นอนัตตา นามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม นามธรรมก็มีทั้งจิตและเจตสิก และขณะหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นทรงแสดงความจริงโดยตลอด โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อให้รู้ว่า จิต หนึ่งขณะที่กล่าวว่ามีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ละเจตสิกทำหน้าที่อะไร และเป็นปัจจัยแก่จิตโดยสถานใด เพื่อไม่ใช่เรา
~ คิดได้ทุกอย่างว่าควรจะทำอะไร แต่เมื่อถึงเวลานั้นจะรู้ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกมากพอที่จะเป็นปัจจัยให้ขณะนั้นความไม่โกรธเกิดขึ้น หรือกาย วาจาจะเป็นอย่างไร แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลา ก็ยังไม่สามารถรู้ได้
*** ~
ต้องขออนุโมทนาทุกคนที่ไม่ดีมาแล้วมากๆ แล้วก็ได้มาฟังธรรม มิฉะนั้นก็จะยิ่งแย่กว่านี้หลายเท่า***



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๐


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 15 มิ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย swanjariya  วันที่ 15 มิ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 3    โดย jaturong  วันที่ 15 มิ.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย มังกรทอง  วันที่ 15 มิ.ย. 2568

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 5    โดย nattawan  วันที่ 16 มิ.ย. 2568

การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด

ยินดีในกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย kukeart  วันที่ 18 มิ.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย มังกรทอง  วันที่ 13 ต.ค. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง