ผมสังเกตว่า ขณะที่มีกลิ่นขยะ (เศษอาหาร) ที่บ้าน ผมเข้าใจว่ากลิ่นนี้เป็นอนิฏฐารมณ์ของผม
แต่น้องหมาที่บ้านกลับชอบไปดมจึงเข้าใจว่าเป็นอิฏฐารมณ์ของน้องหมา ทั้งๆ ที่เป็นกลิ่น (รูป) เดียวกัน
จึงเข้าใจว่า ขณะที่เป็นอิฏฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ ต้องเป็นคนละขณะกับที่เป็นรูปารมณ์ใช่ไหมครับ
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เบื้องต้นก็ต้องเข้าใจก่อนว่า อิฏฐารมณ์ กับ อนิฏฐารมณ์ คืออะไร
อิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หมายถึง อารมณ์ที่ดีปานกลาง เช่น สี เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายที่สวยงาม เป็นที่น่าปรารถนาของคนทั่วไป แต่ไม่ถึงกับประณีตมาก อิฏฐารมณ์เป็นอารมณ์ของจิตได้ทั้ง ๔ ชาติ คือ เป็นอารมณ์ของกุศลจิตก็ได้ อกุศลจิตก็ได้ วิบากจิตก็ได้ กิริยาจิตก็ได้ แต่สำหรับจิตชาติวิบากซึ่งเกิดจากกรรม กุศลกรรมย่อมจัดสรรให้เกิดเฉพาะกุศลวิบากที่เกิดจากกุศลกรรมที่ปานกลางเท่านั้นที่มีอิฏฐารมณ์เป็นอารมณ์ (กุศลวิบากที่เกิดจากกุศลกรรมที่ประณีต ย่อมมีอติอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าพอใจอย่างยิ่งเป็นอารมณ์)
อนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ หมายถึง อารมณ์ที่ไม่ดี เป็นสภาพที่หยาบทราม ไม่ประณีต เช่น สีที่ซากศพ เสียงด่า กลิ่นเหม็นจากขยะ รสเผ็ดจัด โผฏฐัพพะแข็งไป อ่อนไป ร้อนไป เย็นไป อนิฏฐารมณ์เป็นอารมณ์ของกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต หรือกิริยาจิตก็ได้ แต่สำหรับวิบากจิตที่เกิดจากกรรม อนิฏฐารมณ์เป็นอารมณ์ของอกุศลวิบากเท่านั้น เพราะอกุศลกรรมจัดสรรให้อกุศลวิบากรับรู้เฉพาะอนิฎฐารมณ์เท่านั้น
การประสบกับอนิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ ย่อมเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะเหตุว่า การไดัรับสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม ในทางตรงกันข้าม การได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ ต้องมาจากเหตุที่ไม่ดี คือ อกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว โดยที่ไม่มีใครทำให้เลย
จากประเด็นคำถาม ก็พิจารณาได้ว่า การได้กลิ่นที่ไม่ดี คือ กลิ่นเหม็น (อนิฏฐารมณ์) นั้น ต้องเป็นอกุศลวิบาก มาจากเหตุคืออกุศลกรรมที่ตนได้กระทำไว้แล้ว กลิ่น ก็ย่อมเป็นกลิ่น และกลิ่นที่เป็นอารมณ์ของจิตขณะนั้น เป็น คันธารมณ์ ไม่ใช่ รูปารมณ์ แต่การสะสมมาต่างกัน ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ชอบกลิ่นเหม็น แต่ก็มีเหมือนกันที่ชอบกลิ่นเหม็นตามการสะสมของผู้นั้น ชอบดมของเหม็นๆ ขณะที่ชอบ ติดข้อง ไม่ใช่ขณะที่เป็นวิบาก แต่เป็นการเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศลจิตที่มีโลภะเกิดร่วมด้วย เป็นคนละขณะกัน เมื่อว่าโดยความเป็นธรรมแล้ว มีแต่ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่อย่างใด ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ stfurol และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
กราบขอบพระคุณครับอาจารย์
ขณะนี้เข้าใจว่า อารมณ์ แยกเป็นอิฏฐา อติอิฏฐา อนิฏฐา ซึ่งอย่างไรก็เป็นแค่รูปซึ่งไม่รู้อะไร
แต่อุศล หรือ อกุศล จะเกิด ก็จะไปเกิดช่วงชวนจิต ซึ่งในความจริงไม่ได้เกี่ยวกับรูปที่ปรากฏ แต่ขึ้นกับการสะสมของคนนั้นๆ ครับ
กราบบูชาคุณพระรัตนตรัยเหนือเศียรเกล้า
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ