
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 1 - หน้า 304
ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงวิสัชนาปัญหานั้น จึงตรัสคำว่า วิชฺชา อุปฺปตตํ เป็นอาทิ แปลว่า
บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น วิชชา (ความรู้) เป็นประเสริฐ บรรดาสิ่งที่ตกไป อวิชชาเป็นประเสริฐ บรรดาสิ่งที่เดินด้วยเท้า พระสงฆ์เป็นประเสริฐ บรรดาชนผู้แถลงคารม พระพุทธเจ้าเป็นประเสริฐ.
อ.คำปั่น: มีประเด็นที่จะกราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นครับ แต่ก่อนได้กราบเรียนถามท่านอาจารย์ครับ กระผมก็ซาบซี้งมากเลยครับที่ได้ฟังความเป็นไปของท่าน พระราหุล เถระครับ ท่านเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในความเป็นผู้ที่ใคร่ในการศึกษา ซึ่งพยัญชนะ ก็คือสิกขกามะ ซึ่งก็คือผู้ใคร่ในการศึกษาครับ ซึ่งก็มีข้อความใน มโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ก็มีข้อความที่แสดงถึงความเป็นไปของท่านพระราหุลเถระครับว่า แม้พระราหุลลุกขึ้นแต่เช้า เอามือกอบทรายขึ้นมา กล่าวว่า วันนี้เราพึงได้โอวาทประมาณเท่านี้จากพระทศพล และพระอุปฌาจารย์ทั้งหลาย นี่คือข้อความที่แสดงถึงความเป็นไปของท่านพระราหุลครับ
และก็อีกข้อความหนึ่ง เป็นข้อความที่พอด้ศึกษา พอได้อ่านแล้วก็น้อมรำลึกถึงพระสังฆรัตนะเลยครับว่า เป็นผู้ที่สุดสะอาดอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นพระอรหันต์นะครับ นี่เป็นข้อความใน ราหุลเถรปทาน ใน ขุททกนิกาย อปทาน ก็มีข้อความหลังจากที่ท่านพระราหุลได้บรรพชาแล้ว ได้รับพระโอวาทด้วยดีด้วยธรรมะเป็นอันมากในสำนักของพระศาสดา เป็นผู้มีปัญญาแก่กล้าเจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต หมายถึงบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ได้พิจารณาถึงข้อประพฤติปฏิบัติของตน จึงได้กล่่าวคาถาซึ่งไพเราะมาก มีข้อความดังนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมรู้จักเราว่า พระราหุลผู้เจริญ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติทั้ง ๒ ประการ คือชาติสมบัติ ๑ ปฏิปัตติสมบัติ ๑ เพราะเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า และเป็นผู้มีปัญญาเห็นธรรมะทั้งหลาย อนึ่งเพราะอาสวะของเราหมดสิ้นไป และภพใหม่ไม่มีต่อไป เราเป็นพระอรหันต์เป็นพระภัคคิไนยบุคคล มีวิชา ๓ เป็นผู้เห็นอมตธรรม สัตว์ทั้งหลายเป็นดังคนตาบอดเพราะเป็นผู้ไม่เห็นโทษในกาม ถูกข่าย คือตัณหาปกคลุมไว้ ถูกหลังคา คือตัณหาปกปิดไว้ ถูกมารผูกแล้วด้วยเครื่องผูก คือความประมาท เหมือนปลาในปากลอบ ฉะนั้น เราถอนกามนั้นขึ้นได้แล้ว ตัดเครื่องผูกของมารได้แล้ว ถอนตัณหาพร้อมทั้งรากขึ้นแล้ว เป็นผู้มีความเยือกเย็นดับแล้วครับท่านอาจารย์ นี่ก็คือข้อความที่แสดงถึงความประพฤติเป็นไปของท่านพระราหุลเถระครับ
ในประเด็นที่จะกราบเท้าท่านอาจารย์เพื่อความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น ก็คือว่าวันนี้ก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งกับข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า ประพฤติตามคำที่ได้ฟัง ครับ เป็นคำที่สั้น แต่จะขอโอกาสกราบเท้าท่านอาจารย์เพื่อความเข้าใจในความเป็นไปของธรรมะที่เมื่อได้ฟังแล้วที่จะเป็นผู้ที่ประพฤติตามคำที่ได้ฟังครับด้วยความเป็นธรรมะที่เป็นอนัตตา ที่ไม่ใช่เป็นการฝืน ไม่ใช่การบังคับ ความละเอียดคืออย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ใครบังคับอะไรได้ไหม?
อ.คำปั่น: จริงๆ ก็บังคับอะไรไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ไม่ใช่เพียงคำเดียว แต่ทุกคำต้องสอดคล้อง
อ.คำปั่น: ต้องสอดคล้อง
ท่านอาจารย์: ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ก็ไม่ใช่ว่า เพราะเราไปพยายามจะทำ
เพราะฉะนั้น ความมั่นคงในความเข้าใจความจริงต้องทีละเล็กทีละน้อยมั่นคงขึ้นในความเป็นอนัตตา
ไม่ว่าประโยคไหน ลองทบทวนอีกครั้งหนึ่ง จะเห็นได้เลย ต้องมีความเข้าใจจริงๆ ในธรรมะ จึงสามารถที่จะประพฤติตามด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นก็คิดเองเข้ามาแล้ว ตัวตนเข้ามาแล้ว แล้วไหนล่ะ? ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
อ.คำปั่น: ก็ต้องเป็นผู้ละเอียดแล้วก็มั่นคงจริงๆ ครับท่านอาจารย์ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ก็คือไม่มีใครที่จะไปบังคับบัญชาอะไรได้จริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: ก็หมดสงสัยในทุกคำแล้วใช่ไหม?
อ.คำปั่น: ครับ แล้วก็แม้แต่ที่ได้ฟังก่อนหน้านี้เมื่อสักครู่นี้ครับว่า ไม่มีใครทำให้เราโกรธ ไม่มีใครทำให้เราเสียใจได้ จริงๆ ก็คำที่ท่านอาจารย์กล่าวทั้งหมดก็เกื้อกูลตามพระธรรมเลยครับ ว่า ให้เข้าใจในความเป็นไปของธรรมะจริงๆ ใครจะไปทำให้เราโกรธไม่ได้ ใครจะทำให้เราเสียใจไม่ได้ แต่ที่โกรธ ที่เสียใจนี่เพราะอะไร เพราะตัวเราเองที่สะสมมาอย่างนั้นที่จะเป็นอย่างนั้น
ท่านอาจารย์: แม้แต่ใคร่ในการศึกษา เรามีชีวิตที่พอลืมตาก็ทำอย่างพระราหุลหรือเปล่า?
อ.คำปั่น: ห่างไกลมากเลยครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ถ้าไม่เป็นทีละเล็กทีละน้อยจะถึงขนาดนั้นไหม? ไม่ใช่ด้วยความอยาก แต่ด้วยการเห็นโทษของความไม่รู้มหาศาล
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความรู้ในการศึกษาจริงๆ แล้วจะดับกิเลสได้อย่างไร? พูดตาม อกุศลเป็นโทษ โทสะเป็นโทษ แต่กำลังไม่ชอบใคร เป็นอย่างไร? ใคร่ในการศึกษาแค่ไหน!!
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างสอดคล้องกันทั้งหมดในความเป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นคำไหน เช่น บารมี ไม่ใช่ให้ใครไปทำบารมี แต่ปัญญาความเข้าใจถูกทั้งหมด ทำให้เกิดกุศลต่างๆ ที่เป็นบารมีที่จะเกื้อกูลให้สามารถที่จะละคลายความติดข้องได้ ซึ่งแสนยาก เพราะต้องเกิดจากความไม่รู้ เมื่อยังไม่รู้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น หนทางอื่นไม่มี นอกจากรู้ความจริง และสิ่งต่างๆ ที่เป็นบารมีก็จะค่อยๆ เกิดขึ้นด้วยความเป็นอนัตตา ทุกคำต้องสอดคล้องกันหมด
อ.คำปั่น: เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ คำจริงเป็นคำที่ไพเราะจับใจอย่างยิ่งครับ และก็ได้ฟังในวันนี้ และครั้งก่อนๆ ก็ยิ่งเห็นเลยว่า ต้องฟังต้องศึกษาพระธรรมต่อไปครับ เพราะว่าความไม่รู้มีมากจริงๆ ครับ ซึ่งช่วงหลังไม่นานมานี้เองครับเพราะหลายท่านผู้ศึกษาพระธรรมหลายท่านก็ซาบซึ้งครับ กับความเกื้อกูลของท่านอาจารย์ที่ได้กล่าวข้อความในพระไตรปิฎกครับ เตือนว่า เป็นผู้ที่มากไปด้วยความไม่รู้ ด้วยคำว่า มหาอวิชชา ครับ อวิชชามีมากอย่างยิ่ง ครับ เพราะว่าสะสมมามากครับ คำนี้ก็เป็นเครื่องเตือนว่า จะประมาทในการศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย ครับ ก็ต้องฟังต้องศึกษาต่อไปครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า ศึกษา จากไม่รู้เลย ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจแล้วค่อยๆ ประพฤติตาม จึงจะชื่อว่าศึกษา เห็นไหม ไม่ใช่ว่ารู้ไปเฉยๆ แล้วก็เป็นเรา เป็นเรารู้เยอะเรารู้มาก ไม่ใช่เลยทั้งสิ้น ธรรมะต้องอบรมเป็นนิสัย คุ้นเคยต่อการที่จะเป็นอย่างนั้น ทีละเล็กทีละน้อย จนเป็นไปตามคุ้นเคยมากเท่าไหร่ ก็มีกำลังเป็นอุปนิสสยะ ที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไป ทั้งหมดไม่พ้นจากความจริงที่เป็นอนัตตา ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อให้ศึกษา ไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจ แต่ประพฤติตาม อันนี้สำคัญที่สุด ประโยชน์อยู่ตรงนี้
ขอเชิญอ่านได้ที่ ...
มหาอวิชชาอันมีวัฏฏะเป็นมูล [สคาถวรรค]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ