อลคัททูปมสูตร
โดย บ้านธัมมะ  16 ก.พ. 2566
หัวข้อหมายเลข 45565

ตัวอย่างการเป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรมในการเจริญมรรคมีองค์ ๘ ไม่ว่าท่านจะอยู่ในเพศใด ใน มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ อลคัททูปมสูตร เป็นเรื่องของท่านอริฏฐภิกษุซึ่งมีความเห็นผิดว่า ธรรมที่เป็นอันตรายิกธรรม เป็นธรรมซึ่งทำอันตรายแก่สวรรค์และนิพพาน ๕ ประการนั้น ไม่เป็นธรรมที่ทำอันตรายได้จริง

สำหรับอันตรายิกธรรม ๕ คือ

ธรรมประการที่ ๑ คือ กรรม ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ และภิกขุณีทูสกกรรม คือ การประทุษร้ายภิกษุณี

ธรรมประการที่ ๒ คือ กิเลส ได้แก่ นิยตมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิดที่ดิ่ง)

ธรรมประการที่ ๓ คือ การปฏิสนธิ ได้แก่ การเกิดของพวกบัณเฑาะก์ สัตว์เดรัจฉาน และอุภโตพยัญชนกะ

ธรรมประการที่ ๔ อริยุปวาทะ คือ การกล่าวร้ายพระอริยะ

ธรรมประการที่ ๕ อาณาวีติกกมะ คือ อาบัติที่ภิกษุแกล้งต้องทั้ง ๗ กอง ตราบใดที่ยังปฏิญาณว่าเป็นภิกษุ หรือยังไม่ออกจากอาบัติ หรือยังไม่แสดง ก็ย่อมเป็นเครื่องกั้นทำอันตรายแก่สวรรค์และนิพพาน เมื่อยอมรับแล้ว ก็หาทำอันตรายไม่

นี่เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ถึงธรรมที่เป็นอันตราย ๕ ประการ แต่ว่าอริฏฐภิกขุมีความเห็นผิดว่า ไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ที่ส้องเสพได้จริง

ข้อความใน อรรถกถาปปัญจสูทนี มีว่า

ภิกษุรูปนี้ คือ ท่านพระอริฏฐภิกขุนี้เป็นพหูสูตร เป็นธรรมกถึก รู้อันตรายิกธรรมที่เหลือ แต่เพราะไม่ฉลาดในวินัย จึงไม่รู้อันตรายิกธรรม คือ การก้าวล่วงพระบัญญัติ ดังนั้นเธอไปในที่ลับ จึงคิดอย่างนี้ว่า

บุคคลผู้ครองเรือนเหล่านี้ บริโภคกามคุณ ๕ อยู่ เป็นโสดาบันก็มี เป็น สกทาคามีก็มี เป็นอนาคามีก็มี ถึงพวกภิกษุเห็นรูปที่จักษุจะพึงเห็นได้อันน่าชอบใจ ถูกต้องโผฏฐัพพะที่จะพึงรู้ได้ด้วยกาย ใช้สอยเครื่องปูลาด นุ่งห่มอันอ่อนนุ่มทั้งหมดนั้น ก็ย่อมควร เหตุไรเล่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ของพวกหญิงเท่านั้นจะไม่ควร แม้รูปเป็นต้นนั้น ก็ย่อมควร เธอ (คือ ท่านอริฏฐภิกขุ) ครั้นเทียบเคียงรส ด้วยรสอย่างนี้แล้ว จึงทำการบริโภคอันมีฉันทราคะ และการบริโภคอันปราศจากฉันทราคะ ให้เป็นอันเดียวกัน

คือ ท่านคิดว่า เมื่อคฤหัสถ์ประพฤติปฏิบัติแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ เป็นพระสกทาคามีได้ เป็นพระอนาคามีได้ เพราะฉะนั้น แม้บรรพชิตก็ย่อมจะเสพได้ ความคิดผิดของท่าน ความดำริผิดของท่านที่ไม่ทราบฐานะความเป็นจริงของความต่างกันระหว่างบรรพชิตกับฆราวาส ซึ่งเป็นเพศที่ต่างกันมากในการที่สละละอาคารบ้านเรือนด้วยศรัทธาที่มั่นคง ที่จะประพฤติมรรคพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์สิ้นเชิง

ความดำริของท่านที่ผิดไปเช่นนี้ เหมือนกันกับเอาเส้นด้ายอันละเอียดไป เปรียบกับเปลือกปออันหยาบ เธอมาทำ คือ เปรียบให้เป็นอันเดียวกัน เหมือนกับเอาเขาสิเนรุเข้าไปเปรียบกับเมล็ดพันธุ์ผักกาด อันทิฏฐิอันชั่วช้าให้เกิดขึ้นว่า ปฐมปาราชิกที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วด้วยความอุตสาหะอันใหญ่ ราวกะว่ากั้นมหาสมุทรไว้ ยังจะมีอยู่หรือ โทษในข้อนี้ไม่มี ซึ่งความดำริเช่นนี้ขัดแย้งกับ พระสัพพัญญุตญาณ ปฏิเสธเวสารัชญาณ ใส่เสี้ยนหนามเป็นต้นเข้าไปในอริยมรรค ให้การประทุษร้ายในอาณาจักรของพระผู้มีพระภาคว่า โทษในความประพฤติอย่างฆราวาส คือ การประพฤติของคนคู่ในเมถุนธรรมนั้นไม่มี ด้วยเหตุนั้น ภิกษุนั้น คือ อริฏฐภิกขุ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า

เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว และเห็นว่าธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วว่าเป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง

นี่เป็นความละเอียดของสราคจิต หรือโลภมูลจิต ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การที่ ปุถุชนไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือบรรพชิตจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง แล้วประพฤติตามเพศตามความเป็นจริงที่ถูกต้องด้วย ถ้าบรรพชิตที่สละอาคารบ้านเรือนไปแล้วจะประพฤติอย่างฆราวาส จะไม่มีโอกาสที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้เลย เพราะเหตุว่าไม่ใช่ตัวจริงๆ เป็นการหลอกลวง ไม่ได้ตรงต่อความคิดที่จะสละละอาคารบ้านเรือน ซึ่งเป็นเพศที่ขัดเกลาอย่างยิ่ง แต่จะมาเปรียบเทียบกับเพศฆราวาส ซึ่งเทียบกับบรรพชิตไม่ได้เลย เหมือนกับการเอาด้ายที่ละเอียดมาเปรียบกับเปลือกปอ เอาเขาสิเนรุมาเปรียบกับเมล็ดพันธุ์ผักกาด ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 141

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ เจริญสติปัฏฐาน อริยมรรคมีองค์ ๘ ในเพศของฆราวาสก็จะต้องตรงต่อสภาพธรรมที่เกิดขึ้นกับท่านตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะมีโลภะเท่าไร โทสะเท่าไร ทางกาย ทางวาจาเป็นอย่างไร ก็เป็นปกติที่ได้สะสมมา

การที่จะละการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือ สติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏ เป็นนามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้นตามความเป็นจริงของท่าน

ดังนั้น การเจริญสติปัฏฐานนี้ละเอียดมาก ข้อความในอรรถกถามีว่า ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร โมฆะบุรุษ ท่านรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้แก่ใคร แก่กษัตริย์หรือพราหมณ์ แพศย์หรือศูทร คฤหัสถ์หรือบรรพชิต เทวดาหรือมนุษย์

นี่เป็นข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านอริฏฐภิกขุ

เมื่อรับสั่งให้ท่านอริฏฐภิกขุมาหาแล้วได้สอบถามว่า ที่ท่านอริฏฐภิกขุกล่าวว่า รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วนั้น ธรรมที่อริฏฐภิกขุกล่าวนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแก่ใคร แก่กษัตริย์หรือพราหมณ์ แพทย์หรือศูทรคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เทวดาหรือมนุษย์

ข้อความใน อรรถกถา มีว่า

ได้ยินว่า พระอริฏฐะคิดว่า พระผู้มีพระภาคตรัสแก่เราว่าโมฆะบุรุษ เพียงคำกล่าวที่ว่าโมฆะบุรุษ อุปนิสัยแห่งมรรคและผลจะไม่มีก็หามิได้ เพราะว่าพระผู้มีพระภาคก็ทรงโอวาทพระอุปเสนวังคันตบุตรด้วยวาทะว่าโมฆะบุรุษว่า ดูกร โมฆะบุรุษ คนใจเลว ท่านเวียนมาเพื่อเป็นผู้มักมาก เลวนัก ต่อมา พระเถระพากเพียรพยายาม ก็ได้ทำให้แจ้งซึ่งอภิญญา ๖ แม้เรา (คือ อริฏฐภิกขุ) ก็ถือเอาความเพียรถึงปานนั้น จักยังมรรคผลให้เกิด

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเมื่อจะทรงแสดงว่า ท่านอริฏฐะนั้นเป็นผู้ไม่งอกเงยเสียแล้ว เปรียบเหมือนใบไม้เหลืองที่หล่นจากขั้วฉะนั้น จึงทรงเริ่มเทศนานี้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญว่าอย่างไร พระอริฏฐะนี้มีความเห็นอย่างนี้ ขัดกันกับสัพพัญญุตญาณ ห้ามเวสารัชชญาณ ให้การประหารในอาณาจักรของตถาคต จะเป็นผู้มีไออุ่นในธรรมวินัยนี้บ้างหรือหนอ ประกายไฟ แม้ประมาณเท่าแสงหิ่งห้อย ยังมีอยู่ในกองไฟใหญ่ แม้ที่ดับแล้วซึ่งกองไฟใหญ่ จะพึงมีอีกได้ เพราะอาศัยประกายไฟอันเล็กใดเล่า ฉันใด ไออุ่น คือ ญาณ แม้มีประมาณนิดหน่อยของอริฏฐะนี้ จะมีอยู่ฉันนั้นหรือหนอแล ซึ่งผู้ที่อาศัยไออุ่น คือ ญาณนั้นแล้ว พยายามอยู่ ก็พึงยังมรรคผลให้เกิดขึ้น

ภิกษุทั้งหลายเมื่อจะปฏิเสธความที่ไออุ่น คือ ญาณ อันสามารถเป็นปัจจัยแห่งมรรคผลมีอยู่ จึงกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไออุ่น คือญาณเห็นปานนั้นของอริฏฐภิกขุ ผู้มีความเห็นอย่างนี้ จักมีแต่ที่ไหน

ทรงใช้คำว่า ไออุ่น หมายความถึงกองไฟใหญ่ ถ้าตราบใดที่ถึงแม้ว่าจะไม่มีแสงไฟ แต่ยังมีประกายไฟที่เหลืออยู่ กองไฟใหญ่นั้นก็ย่อมจะลุกโชติช่วงขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้ ด้วยอาศัยไออุ่นของประกายไฟนั้น แต่ว่าอริฏฐภิกขุซึ่งมีความเห็นผิดอย่างนี้ จะยังคงมีแม้ไออุ่น คือ ญาณที่จะให้อริยมรรคเกิดขึ้นได้ไหม ซึ่งภิกษุทั้งหลายก็กราบทูลว่า ไม่ได้ และไม่มี

ในเรื่องของญาณที่ทำให้รู้แจ้งทรงเปรียบว่า เหมือนกับไออุ่นในธรรมวินัย

เพราะฉะนั้น ทุกท่านพอจะสำรวจได้ไหมว่า ท่านมีไออุ่นในธรรมวินัยที่แม้ประมาณเท่าแสงหิ่งห้อย ก็ย่อมทำให้กองไฟใหญ่พึงมีได้อีก ถ้ามีไออุ่นของญาณ คือ ปัญญาที่รู้ถูกต้องในข้อประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าข้อประพฤติปฏิบัติคลาดเคลื่อนผิดไป หมดไออุ่น ไม่มีเหตุที่จะให้เกิดผล คือ อริยมรรค อริยผลได้เลย ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 142

เปิดฟัง ...

อลคัททูปมสูตร