ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๕๘
โดย khampan.a  30 ก.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 21809

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘]

จะไม่คิดที่จะอบรมเจริญปัญญาเลยถ้าไม่เห็นโทษของอวิชชา เพราะเหตุว่า ที่จริงแล้วเพราะอวิชชานี้เอง จึงมีความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แล้วเกิดความอยาก ความต้องการเพื่อตัว แม้แต่การที่จะปฏิบัติก็เพื่อตัว อยากจะให้ตัวเองมีสติมากๆ ไม่มีหนทางที่จะละความเป็นตัวตนด้วยวิธีอื่นเลย

ขณะนี้ใครทำอะไรได้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เมื่อรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายต้องมีเหตุปัจจัย การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัส เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย จะไม่ทำอย่างอื่นเลย นอกจากเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น

ตั้งแต่เกิดจนตายที่มีความสำคัญว่าเป็นเรา ก็เพราะคิด มีความสำคัญว่าเป็นเขา ก็เพราะคิด จะชังใคร จะรักใคร ก็เพราะคิด

เมื่อได้เข้าใจพระธรรมแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่กล่าวคำว่า อิติปิโส ภควา แต่ขณะที่เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด และเป็นสิ่งที่สามารถจะพิสูจน์ได้ ขณะใดที่เห็นพระคุณ ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่สามารถที่จะแสดงปรมัตถธรรมโดยละเอียดอย่างนี้ได้ ในขณะนั้นถึงแม้จะไม่กล่าวว่า อิติปิโส ภควา ขณะนั้นก็คือ อิติปิโส ภควา นั่นเอง

ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นจะสงบไม่ได้เลย แต่ว่าขณะใดที่จิตเป็นกุศล จะเห็นได้ว่ากุศลจิตนั้นเล็กน้อยมากเพราะการสะสม อย่างเวลาที่จะให้ทานสักครั้งหนึ่ง มีกุศลเจตนาเกิด แต่เวลาที่ไปตลาดซื้อของเพื่อที่จะเป็นไทยธรรมสำหรับถวาย ก็อาจจะมีทั้งโลภะ โทสะเกิดสลับมากมาย

ผู้ที่ตรงก็จะรู้ได้ว่า ขณะใดที่เกิดโกรธ แล้วก็เกิดสติระลึกได้ ขณะนั้นจะเห็นภัย เห็นโทษของโทสะ ไม่ใช่ว่าทำอย่างไรโทสะถึงจะหมด ซึ่งทุกคนมักจะถามคำเดียวว่า ไม่อยากจะโกรธ แล้วก็ขี้โกรธ ขี้โมโห ทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นอย่างนี้ เหมือนกับพระพุทธศาสนาจะมียาวิเศษเพียงเม็ดเดียว ที่ทานเข้าไปก็จะหายโกรธได้ แต่นั่นไม่ได้รักษาสมุฏฐานเลย เพราะเหตุว่าปัญญาไม่ได้เห็นโทษของโทสะ เพียงแต่ว่ามีความเป็นตัวตนที่ไม่อยากจะมีความรู้สึกไม่เพลิดเพลินอย่างนั้น

มิตรหรือไมตรี คือ ความเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเห็นใคร แล้วก็มีความรู้สึกว่า เขาเป็นเพื่อนของเรา ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างประเทศ ต่างวัย ต่างความรู้ ต่างฐานะ แต่มีความเสมอกัน เข้ากันได้เหมือนเพื่อนสนิท เพราะเหตุว่าใครก็ตามที่จะเป็นเพื่อนกันแล้ว หมายความว่าคนนั้น ต้องไม่มีความรู้สึกว่าเป็นเขาหรือเป็นเรา หรือว่ามีความต่างกัน เพราะฉะนั้นจิตใจในขณะที่กำลังมีเพื่อนพร้อมที่จะเกื้อกูลช่วยเหลือผู้หนึ่งผู้ใด ขณะนั้นคือเมตตา

ขณะที่มีเมตตา มีความเป็นเพื่อน ขณะนั้นเป็นกุศล แล้วถ้าเราเพิ่มความเมตตากับทุกๆ คนขึ้น ที่เราพบปะ นั่นคือเราอบรมเจริญความสงบของจิต ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปนั่งท่องภาวนาอยู่ที่มุมหนึ่งมุมใด แต่พอพ้นจากห้องนั้นมาแล้ว เห็นคนอื่นก็หมั่นไส้หรือไม่ชอบ หรือรำคาญ ขณะนั้นที่เราไปนั่งท่องตั้ง ๒๐ นาที หรือครึ่งชั่วโมง จะไม่มีความหมายเลย เพราะเหตุว่าไม่เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน

ธรรมเป็นสิ่งที่จะต้องอบรมเจริญประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะเหตุว่าชีวิตประจำวันของเราดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว บางขณะจิตเราก็เป็นอกุศล ซึ่งต่างกับขณะที่เป็นกุศล เพราะฉะนั้น จิตจะเกิดดับสลับเปลี่ยนแปลงกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจิตเที่ยง จิตที่เป็นอกุศล ก็ไม่ใช่จิตที่เป็นกุศล

อยากจะนั่งนิ่งๆ แล้วให้จิตไม่นึกถึงอะไรเลยนอกจากสิ่งที่เรากำลังจดจ้องอยู่ แล้วก็เข้าใจว่าขณะนั้นจิตสงบ แต่นั่นไม่ใช่ เพราะเหตุว่าความสงบ หมายความว่าสงบจากอกุศล สงบจากโลภะ สงบจากโทสะ สงบจากโมหะ คือ ความไม่รู้

ในขณะที่กำลังอยากจะอยู่คนเดียว แล้วก็จดจ้องที่อารมณ์เดียว ลองคิดดูว่า ขณะนั้นสงบ หรือว่าอยาก?

เรียน อะไรก็ตามที่ไม่ใช่พระพุทธพจน์ นั่น ไม่ใช่ปริยัติ

พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา แต่เราเพิ่งฟังมาไม่กี่นาทีเอง

ธรรมทุกคำที่ได้ยินได้ฟัง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทั้งหมด

ที่มีอกุศลธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเป็นไป ก็เพราะว่ายังมีอวิชชาอยู่

ไม่มีเหตุให้ธาตุดี (กุศลธรรม) เกิดขึ้น ธาตุดีก็เกิดขึ้นไม่ได้

ธรรมที่ไม่ดี ก็ต้องรู้ เพราะเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

ความเข้าใจถูกเห็นถูก ทำให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควร เพราะรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว

คำจริง จริงโดยตลอด

ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ย่อมไม่มีที่พึ่ง

ทำดีโดยไม่หวั่นไหว เพราะในที่สุดแล้วก็จะต้องจากโลกนี้ไป

ทำประโยชน์แม้เล็กน้อยก็เป็นความดี

ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทั้งทางกาย วาจา และใจ

เกียรติยศชื่อเสียงจริงๆ คือ ความดี ซึ่งไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่นเลย

อกุศล เป็นศัตรู แต่ กุศล เป็นมิตร

ทุกขณะไม่พ้นไปจากธรรม

ปัญญาจะเกิดขึ้นทีละมากๆ เป็นไปไม่ได้

มีโมหะ สะสมโมหะ (อวิชชา ความไม่รู้) มานานแค่ไหนแล้วในสังสารวัฏฏ์

ฟุ้งซ่าน เป็นอกุศล ไม่ใช่กุศล

ขณะที่อกุศลเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่สงบ

ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปจำชื่อไว้เยอะๆ ถ้ามุ่งจำชื่อเยอะๆ อาจจะสับสนได้

ขณะที่หาได้ยากในโลก คือ ขณะที่ได้ฟังพระธรรม.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๕๗ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 2    โดย Noparat  วันที่ 30 ก.ย. 2555

ขณะที่หาได้ยากในโลก คือ ขณะที่ได้ฟังพระธรรม.

ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ย่อมไม่มีที่พึ่ง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 30 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วย ครับ

- ขณะนี้มีธรรมอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ขาดแต่เพียงสติและปัญญาที่จะรู้ (ปฏิบัติ)

ดังนั้นเหตุให้เกิดการปฏิบัติ หรือ สติและปัญญาเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรม คือ

การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในเรื่องของสภาพธรรม เมื่อปัญญาเจริญขึ้นทีละน้อย

ขณะนั้นเริ่มอบรมแล้ว จนเหตุปัจจัยพร้อม สะสมมามากแล้ว สติและปัญญาก็รู้ความจริง

ในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ปฏิบัติแล้วในชีวิตประจำวัน ใครปฏิบัติ เรา หรือ ธรรม

ต้องเป็นธรรม คือ สติและปัญญา ปฏิบัตินั่นเอง ทำกิจหน้าที่ เพราะมีแต่ธรรมไม่ใช่เรา

ตามความเป็นจริง ธรรมจึงมีค่า สำหรับผู้ที่เข้าใจ และธรรมที่เป็นอสัทธรรม คือ ธรรมไม่

ถูกต้อง ไม่มีค่า และมีโทษสำหรับผู้ไม่เข้าใจและทำในสิ่งนั้น

- สิ่งที่มีค่าในการดำรงชีวิตอยู่ คือ การเจริญกุศลและอบรมปัญญา ที่เป็นศีลสาระ

สมาธิสาระและปัญญาสาระ และการใช้ชีวิตที่ประเสริฐอย่างมีคุณค่า คือ การมีชีวิต

อยู่ด้วยปัญญา เพราะปัญญาย่อมเป็นเหมือนแสงสว่าง นำทางให้กับผู้ที่ดำรงชีวิต

ประจำวันในความเป็นมนุษย์ ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ทั้งทางกาย วาจาและใจ

ด้วยปัญญาเป็นผู้ชี้ทาง ดังนั้น การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าและประเสริฐในพระพุทธ

ศาสนา คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ซึ่งปัญญาจะมีได้ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษา

พระธรรม เพราะฉะนั้น ชีวิตที่มีคุณค่า คือ การเจริญกุศลทุกประการและอบรมปัญญา

มีคุณค่าเพราะมีสิ่งที่มีคุณค่าเกิดที่ใจ คือ คุณความดีและปัญญา

- ชีวิตเหลืออีกเท่าไร อยู่เพื่อเข้าใจธรรมะจริงๆ จนกว่าจะได้ตรึกถึงลักษณะจริงๆ

ของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แต่ละขณะ ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมดซึ่งต้อง

อดทนฟังให้เข้าใจ และกว่าที่จะค่อยๆ น้อมมาเข้าใจลักษณะสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งเป็น

สัมมาทิฏฐิ มีความมั่นคงจริงๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏมั่นคงขึ้นๆ สักวันหนึ่งเมื่อ

ได้ฟังพระธรรม ความเข้าใจที่สะสมมาสามารถที่จะตรึกถึงลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่

กำลังปรากฏ กำลังเดินทางอยู่หรือเปล่า กำลังเป็นมรรคหรือเปล่า ทุกขณะเดี๋ยวนี้

ทุกคนกำลังเดินทาง กำลังเดินทางไปสู่ทางกุศล หรืออกุศล หรือกำลังเดินทางไป

สู่การรู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง

- คุณประโยชน์ของปัญญาขั้นฟัง ทรงจำ ไตร่ตรอง และประพฤติตาม แม้ฟังเข้าใจ

และทรงจำไว้เพียงบางส่วน ในธรรมที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา แต่เมื่อ พิจารณา

ประกอบกัน ผลต้องมาก เพราะสาระจากพระธรรมแต่ละคำเป็น สิ่งมีประโยชน์ ทรงจำ

ไว้ ไตร่ตรองให้เข้าถึงอรรถและประพฤติตาม จะดับกิเลสได้เพราะฟัง เห็นโทษอกุศล

จากคนไม่ดีเริ่ม เป็นคนดี ดีที่สุด คือ หมดกิเลสด้วยปัญญา

- มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ต่างคนต่างตอบ ผู้มีปัญญาเท่านั้น มีชีวิตอยู่เพื่อความรู้ปรากฏ

รู้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้จริงๆ เพราะไม่รู้ตลอดมาในสังสารวัฏฏ์ เห็นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

มีปัจจัยเกิดแล้วดับ ผู้มีปัญญาจึงสามารถเข้าถึงมีชีวิตอยู่เพื่อความรู้ปรากฏ มีชีวิตเพื่อ

เข้าใจธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว ความรู้จะปรากฏตามลำดับขั้นของความเข้าใจนั้น

- เมื่อมีกิเลสมากจะกล่าวว่าใจเย็นไม่ได้ เพราะกิเลสเกิดขึ้นในใจไม่ได้แสดงออก

ก็ได้ จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่เมื่อได้ยินคำพูดไม่ดี ก็เกิดโกรธ โมโหมากเพราะกิเลส

ที่สะสมมามากทุกคำ คือ ขณะที่ฟังเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีลักษณะของธรรม ก็ไม่มีคำที่พูดถึง

ธรรมนั้นๆ ตัวธรรมก็มีจริง อรรถก็กล่าวถึงลักษณะของธรรมนั้นก็จริง จุดประสงค์แท้

ของการฟัง คือ เพื่อเข้าใจจนประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมที่ปรากฏ เพื่อละอกุศล

โลภะ อวิชชา

- มีคนเป็นจำนวนมากเมื่อไม่มีความเข้าใจพระธรรมอย่างแท้จริง มักจะคิดว่าจะนำ

ธรรมมาใช้เพื่อให้หายเครียด ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวว่า จะนำธรรมมาจากที่ไหนมา

ใช้ เครียดก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง การจะพึ่งพระธรรมจึงต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ

ทุกอย่างเป็นธรรม ฟังจนกว่าทุกอย่างเป็นธรรมจริงๆ เครียดไม่ใช่เรา เครียดเป็นธรรม

ความเข้าใจเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่ง โรคอะไรร้ายกว่าเครียด? โรคของความติดข้อง

โรคโลภ ร้ายกว่าโรคเครียด ความทุกข์ที่กำลังประสพอยู่ในโลกนี้ ที่คิดว่าทุกข์แสน

สาหัสก็ยังไม่เท่าทุกข์ในนรก

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 5    โดย wannee.s  วันที่ 30 ก.ย. 2555

โรคของความติดข้อง โรคโลภ ร้ายกว่าโรคเครียด ความทุกข์ที่กำลังประสพอยู่ในโลกนี้

ที่คิดว่าทุกข์แสนสาหัสก็ยังไม่เท่าทุกข์ในนรก

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย nong  วันที่ 1 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย j.jim  วันที่ 1 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 1 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 1 ต.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 1 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น ครับ

และ ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วยครับ

"...สิ่งที่ปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ เข้าใจตามความเป็นจริงหรือเปล่า?..."

"...ฟังในสิ่งที่ทรงตรัสรู้ แล้วไม่ต้องไปคิดเอง เพราะไม่มีปัญญาที่จะไปคิดเอง..."

"...ทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่เราทำ เห็นเกิดแล้ว ได้ยินเกิดแล้ว มีใครไปทำอะไรได้..."

"...หนทางที่ยาก...และ...ยาวนาน..."

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 11    โดย kinder  วันที่ 1 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย natural  วันที่ 2 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย aurasa  วันที่ 2 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย aurasa  วันที่ 2 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย napachant  วันที่ 3 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย boonpoj  วันที่ 8 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ