รู้ชื่อธรรม หรือรู้จักธรรม
โดย บ้านธัมมะ  28 ก.พ. 2567
หัวข้อหมายเลข 47535

เรียนท่านอาจารย์สุจินต์ ขณะที่กำลังฟังชื่อ หัวข้อ และเรื่องราวของธรรมซึ่งเป็นพื้นฐานพระอภิธรรม มีรายละเอียดมากมายของธรรมแต่ละขณะ รู้สึกหนักใจมาก และธรรมปรากฏดับไปเร็วมากในชีวิตประจำวัน เช่น กำลังเห็น และได้ยินเหมือนพร้อมกันตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ความจริงมีอารมณ์ของธรรมต่างกันมาก ไม่ซ้ำซ้อนกันเลย ทีละอย่างเท่านั้นในชีวิตประจำวันในขณะนี้

คำถามก็คือ ผู้ฟังธรรมควรเข้าใจว่า

๑. รู้ และเข้าใจตามลำดับขั้นของธรรมซึ่งเป็นรูปธรรม และนามธรรมขณะนี้เอง หรือ

๒. รู้ชื่อ หัวข้อ เรื่องราว รายละเอียดของธรรมจนสามารถจำชื่อ และเรื่องราวของธรรมได้

กราบเรียนท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ หนักใจแน่ๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร จะศึกษาแบบไหน จะจำชื่อ หรือไม่ จริงๆ แล้วก็คือว่า ใช้ภาษาไทยธรรมดา ไม่ต้องกังวลถึงภาษาบาลีที่จะต้องหนักใจว่า ออกเสียงถูก หรือไม่ สั้น หรือยาว นี่ก็เป็นเรื่องของความหนักใจ เพราะความไม่รู้ แต่ว่าธรรมใช้ภาษาที่แต่ละคนสามารถเข้าใจได้ในภาษาของตน

นี่คือพุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ใช่ให้ไปกังวลใจ หนักใจกับภาษา หรือคำ แต่ว่าใช้คำไหนก็ได้ที่สามารถทำให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่กังวลเรื่องภาษา อย่างบางคนก็บอกว่า ธาตุ ไม่รู้จักธาตุ บอกว่าจิตเป็นธาตุ เจตสิกเป็นธาตุ แล้วธาตุเป็นอย่างไร เห็นไหม คำว่า “ธาตุ” ปิดบัง หรือไม่ แต่ถ้าบอกว่า ขณะนี้แข็งมี มีจริงๆ เปลี่ยนแข็งให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ตรงกับความหมายของคำว่า “ธาตุ” หรือไม่ โดยไม่ใช้คำว่า “ธาตุ”

สิ่งที่มีจริงๆ และมีลักษณะของตนเอง ไม่ต้องคิดถึงวิเสสลักษณะกับสามัญลักษณะ เริ่มหนักแล้วใช่ไหม วิเสสลักษณะจะไปหาที่ไหน ก็มีธรรมแล้ว วิเสส ลักษณะเป็นอย่างไร ถ้าแปลออกมาก็คือเฉพาะแต่ละอย่าง ต่างๆ กันไป จะเหมือนกันได้ไหม กลิ่นกับเสียง ก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ก็เป็นลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างซึ่งต่างๆ กันไป แม้แต่อย่างเดียวก็ยังต่างๆ กัน กลิ่น เฉพาะกลิ่นที่สามารถกระทบจมูก ปรากฏ ต่างๆ กัน หรือไม่ ในครัว ประเดี๋ยวก็มีกลิ่นต่างๆ ทั้งๆ ที่ก็เป็นทางเดียว คือ กลิ่น

เพราะฉะนั้นบอกว่าไม่รู้จักธาตุ เพราะอะไร ไปกังวลเรื่องชื่อ แต่ถ้ารู้ว่า ธรรม หรือธาตุ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ต้องไปลำบากใจเรื่องรู้จักชื่อธาตุ หรือไม่ หรือต้องไปรู้จักคำว่า “ธาตุ” หรือไม่ ในเมื่อสามารถรู้ลักษณะของธรรมที่มี และลักษณะนั้นก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะใช้ภาษาอะไรก็ตามแต่ แต่พระผู้มีพระภาคตรัสภาษามคธี ซึ่งใช้กันอยู่ในยุคนั้นสมัยนั้น เป็นธรรมดา เป็นปกติ เพราะฉะนั้นก็คือสิ่งที่มี เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ พอได้ยินคำว่า “ธาตุ” ไม่ต้องไปจำ ไม่ต้องไปหนักใจ ไม่ต้องไปค้นคว้าที่ไหนเลย แข็งก็เป็นธาตุ มีจริงๆ ก็สบายมาก คือว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ต่างภาษาเท่านั้นเอง ถ้าเป็นภาษาที่เข้าใจได้ จะใช้คำอะไรก็คือ สามารถรู้ว่า หมายความถึงสิ่งนั้น ถ้าเปลี่ยนจากคำว่า “ธาตุ” เป็นคำว่า “ธรรม” ได้ไหม แปลคนละอย่าง หรือมาจากธาตุเดียวกัน หรืออย่างไรก็ต่างกัน บวกลบใส่โน่นใส่นี่มาเป็นอย่างนี้ ก็คือเปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ เพราะลักษณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงๆ

ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ แล้วแข็งกำลังปรากฏ ไปนึกถึงชื่อวิเสสลักษณะ หรือไม่ นึกถึงทำไม ก็แข็งนั่นแหละมีลักษณะของแข็ง เปลี่ยนไม่ได้ เสียง ต้องไปนึกถึงวิเสสลักษณะ หรือไม่ ในเมื่อเสียงไม่ใช่แข็ง ก็เป็นลักษณะเฉพาะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ แล้วสภาพธรรมที่เกิด ดับไหม สภาพธรรมใดบ้างที่เกิดแล้วไม่ดับ ไม่มี แต่พอใช้คำว่า “สามัญญลักษณะ” ก็งงอีก สามัญญะ ทั่วไป ลักษณะของสภาพธรรมทุกอย่างซึ่งเกิดต้องดับ เพราะฉะนั้นสามัญญลักษณะก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง ถ้าใช้ภาษาไทยเข้าใจ ไม่มีปัญหาเลย แต่พอไม่รู้ภาษาบาลี ได้ยินก็เลยไม่รู้จักธรรมในภาษาไทย แต่ความจริงก็เปลี่ยนธรรมไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคำนี้ใช่ไหม พูดบ่อยๆ วิเสสลักษณะ กับสามัญญลักษณะ แต่ต้องเข้าถึงความหมาย สิ่งใดก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นต้องดับ

ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดที่เกิด จะไม่ปราศจากสามัญญะ คือ ทั่วไปหมดเลยทุกประการกับสภาพธรรมทั้งหลาย คือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ ไม่เหลือเลยด้วย เพียงแค่ปรากฏ เป็นทุกข์ไหม เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ตลอดเวลาอย่างรวดเร็วมาก เท่านี้เอง เป็นทุกข์ หรือเปล่า ทุกข์ ที่นี่ ไม่ได้หมายความว่า ความรู้สึก เป็นสิ่งที่ควรยินดีติดข้อง หรือไม่ ถ้ารู้จึงละได้ แต่ไม่รู้ก็ละไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ไม่ใช่มีใครสามารถละความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมนั้นๆ

ทางที่ถูกต้อง คือ ฟังธรรมแล้วเข้าใจในภาษาที่เป็นธรรมดา แล้วไม่ต้องกังวลถึงคำที่ใช้ เพราะถึงไม่ใช้คำนั้น แต่ก็เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ แล้วก็ตรงกันด้วย ถ้าจะพูดภาษาบาลีก็เป็นอีกคำหนึ่ง ถ้าพูดภาษาไทยธรรมดา ก็คืออย่างที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

มีใครไม่รู้จักชื่อ “โลภะ” บ้างไหม แต่รู้จักตัวโลภะ หรือไม่ เพราะว่าโลภะจริงๆ ละเอียดมาก ถ้าไม่ใช่ปัญญา ไม่สามารถเห็นแล้วละได้ เพราะความละเอียดของโลภะ โลภะที่เกิดร่วมกับความเห็นผิดก็มี ที่ไม่ได้เกิดร่วมกับความเห็นผิดก็มี ก็เป็นชีวิตประจำวัน แต่เวลาที่สภาพธรรมในชีวิตประจำวันเกิดขึ้น ไม่ได้เข้าใจตามที่ได้ศึกษา เพราะเหตุว่ายังไม่ถึงเวลาที่สามารถจะระลึกได้ว่า ลักษณะนั้นๆ เป็นธรรม แม้ว่าฟังแล้วว่าเป็นธรรม แต่ก็ยังไม่ระลึกในขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ เพราะว่าความเข้าใจยังไม่พอ แต่เมื่อไรที่สติสัมปชัญญะเกิด เมื่อนั้นก็จะรู้ได้ ถ้าไม่มีการฟังเข้าใจ สติสัมปชัญญะก็จะไม่เกิดแล้วก็รู้ลักษณะที่กำลังปรากฏ

พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 434