ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๗
โดย khampan.a  12 ก.ย. 2565
หัวข้อหมายเลข 43803

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๗

~ ได้ยินชื่อ "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" กราบไหว้ เหมือนรู้จัก แต่ไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะชื่อว่ารู้จักพระองค์หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่เห็นพระคุณของพระองค์ เพราะคุณของพระองค์ ก็คือ พระปัญญาคุณเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จักคุณที่เป็นปัญญาที่เลิศกว่าบุคคลใดทั้งหมด ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่า นี่คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อทุกคนที่สะสมมาแต่ละอัธยาศัยที่เมื่อฟังแล้วจะเป็นประโยชน์ คือ ยากที่จะละอกุศล แต่อย่างน้อยที่สุดรู้ว่า อกุศล ควรละ ก็ยังเป็นหนทางที่จะทำให้ค่อยๆ ฟังพระธรรมเข้าใจขึ้น จนกระทั่งปัญญามีกำลังและปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญาได้
~ อกุศลเกิดจากความไม่รู้ จะทำให้รู้ไม่ได้ ไม่ว่าขณะใดที่เป็นอกุศล ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เป็นปัจจัยให้ทำกุศลแม้เล็กน้อย เพื่อขณะนั้นจะได้ไม่ให้อกุศลเกิดจนมีกำลังขึ้นอีกจากการที่สะสมมาแล้วมาก
~ ถ้าทำสิ่งที่ถูกต้องและมีความหวังดี กล่าวคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว กลัวอะไร ไม่มีอะไรที่จะน่ากลัว เพราะกุศลทั้งหลาย นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์
~ ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจในเหตุในผล อกุศลเป็นอกุศล เป็นโทษ กุศลเป็นกุศล ไม่เป็นโทษ ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็น้อมไปที่จะละอกุศล และเจริญกุศลยิ่งขึ้น ไม่ใช่ยังเป็นผู้ที่แข็งกระด้างว่ายาก ไม่ว่าพระธรรมจะว่าอย่างไร แต่ใจยังต้องการที่จะเป็นอกุศลต่อไปอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการฟังพระธรรม
~ เป็นประโยชน์ไหม ที่เกิดมาแล้วรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ก็มี สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็มี เพราะฉะนั้น สัจจะ ความจริง คือ สามารถที่จะเข้าใจตรงตามความเป็นจริง ว่า สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมแล้วเข้าใจ กับ การที่ไปนั่งปฏิบัติอะไรแต่ไม่เข้าใจเลย พิจารณาเองก่อน อะไรเป็นประโยชน์?
~ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่ว่า พึ่ง นั้น ไม่ใช่พึ่งเพื่อลาภ ยศ สมบัติ ไม่ให้เจ็บป่วย ไม่ให้ตาย ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่พึ่งให้เข้าใจถูกต้องซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจด้วยตัวเอง เมื่อมีโอกาสในชาตินี้ ก็ฟังพระธรรม เพราะชาติต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรจะได้ฟังอีกหรือเปล่า คนที่ไม่ได้ฟังมีเยอะ แต่คนที่เริ่มเห็นประโยชน์ ก็จะฟังต่อไป
~ เมตตาเมื่อเกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อนเลย แต่ตรงกันข้ามทำให้เกิดความสบายใจ เพราะไม่ดูหมิ่น ไม่รังเกียจคนอื่น มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร พร้อมที่จะอุปการะเกื้อกูลอย่างจริงใจ
~ ขณะใดที่มีโอกาสที่จะได้ทำความดีแม้เล็กน้อยก็ไม่ประมาท ทำความดีให้ถึงพร้อม เพราะเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดมาก เท่านี้ยังไม่พอ ต้องชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสคือความไม่รู้ซึ่งนำมาซึ่งกิเลสอื่นๆ ซึ่งจะดับได้ หมดได้ ก็เพราะความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น
~ ความดี คือ ความดีจริงๆ ไม่ว่าใครจะร้ายต่อเรา แต่ว่าถ้าเราเป็นคนดี ไม่เดือดร้อนเลย ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนความดีของเราที่ไม่โกรธตอบให้เป็นความโกรธได้ เพราะฉะนั้น ดี ชั่ว อยู่ที่ไหน? ก็อยู่ที่ตนเอง ใครเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จะไปโทษใครไม่ได้เลย ใช่ไหม? ทำไมไม่เหมือนกัน แล้วจะให้เหมือนกันก็ไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
~ ถ้าสะสมเหตุที่ดีมาแล้วที่จะได้ฟังพระธรรม ใครจะห้ามปรามอย่างไรไม่สำเร็จ เพราะว่า มีปัจจัยที่จะรู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร จะไม่ให้ฟังธรรมก็ไม่ได้ เพราะว่าสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ จะให้ทำอะไรผิดๆ ถูกชักชวน ก็ไม่ไป เพราะว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำสิ่งที่ผิด เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ได้สะสมมาแล้วก็จะค่อยๆ นำไปสู่ความเข้าใจขึ้น และนำไปสู่กุศลธรรมทั้งปวง เพราะเหตุว่า ปัญญา รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด เมื่อรู้ว่าอะไรผิด จะทำสิ่งที่ผิดหรือ เพราะฉะนั้น ปัญญาจะไม่นำไปสู่ทางที่ผิดเลย แต่จะนำไปสู่ทางที่ถูก
~ คนที่เคยเห็นผิด อาศัยการฟังพระธรรม แล้วพิจารณา ย่อมเกิดความเห็นถูกได้ แต่ถ้าไม่ฟังและไม่พิจารณา ก็หมดหนทางที่จะเห็นถูกได้ ย่อมยึดถือความเห็นผิดว่า เป็นความเห็นถูกอยู่เรื่อยๆ แล้วเมื่อมีการสะสมความเห็นผิด จนกระทั่งเป็นปกติ เป็นอุปนิสัยที่มีกำลัง ย่อมจะทำให้ความเห็นผิดนั้นมีปัจจัยที่จะเกิดต่อไปอีก และจะเห็นผิดมากขึ้นอีกด้วย
~ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก แล้วเรากำลังฝึกหรือเปล่า หรือยังไม่ยอมจะฝึก ถ้าฝึกก็คือรู้ว่า กิเลสไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ความโกรธไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ใครจะด่า จะว่า จะประทุษร้ายอย่างไร ความโกรธไม่ได้อยู่ที่การกระทำของเขาเลย แต่อยู่ในใจของคนที่ยังมีความโกรธนั้นอยู่
~ ขณะเดียวที่กุศลเกิด มีค่ามหาศาล เพราะขณะนั้น อกุศลใดๆ เกิดไม่ได้ และถ้ากุศลเกิด ทีละนิด ทีละหน่อย ยิ่งเพิ่มกำลังของกุศลขึ้น ที่จะห่างไกลจากอกุศล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาจะรู้จักไหม ว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ตั้งแต่ตรัสรู้ จนกระทั่งใกล้จะปรินิพพาน พูดถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ที่สามารถที่จะเข้าใจได้จากคำของพระองค์ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง จึงทรงแสดงความจริงโดยละเอียดอย่างยิ่งให้เข้าใจตามลำดับ
~ เวลาที่ไม่รู้ ก็คิดว่า เป็นคนอื่นที่ทำร้ายเรา ทำให้เราเสียใจทำให้เราผิดหวังทำให้เราโกรธ ที่ไม่เป็นไปอย่างใจหวังแต่ความจริง ไม่มีใครทำร้ายใจใครได้เลยนอกจากกิเลสที่อยู่ในใจของคนนั้นเท่านั้นที่ทำร้ายคนนั้น เวลาที่กิเลสเกิดทำร้ายทันทีทุกขณะ
~ กังวลใจทำไม เดือดร้อนใจทำไม ในเมื่อรู้ความจริง ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลได้ ทำดีที่สุด เพราะชีวิตสั้นมาก ใครจะรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น โอกาสที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็ทำดีที่สุดและเข้าใจพระธรรม
~ ค่อยๆ ฟังธรรม จนกว่าจะมั่นคงว่า ไม่มีอะไรเลยสักอย่างในขณะนี้ที่ไม่ใช่ธรรม และสิ่งที่เป็นธรรมในขณะนี้ เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย คือ ฟังแล้วก็พยายามที่จะเข้าใจความจริง ทุกอย่างที่เป็นธรรมก็จะต้องเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปิดเผยความจริงทุกอย่างเพื่อให้คนได้เข้าใจที่ถูกต้อง ทุกคำที่พระองค์ตรัส เป็นประโยชน์ คือ ให้รู้ว่า อะไร ถูก อะไร ผิด อะไรเป็นสิ่งที่ควร อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ควร
~ ผู้ที่ฟังพระธรรมและน้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขจัดกิเลส ขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางเดียวกัน คือ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั่นคือ ผู้ที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะมีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน คือ ฟังพระธรรมเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ตัดได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีก) แต่ถ้าเป็นอกุศล ไม่ใช่น้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะนำไปสู่คติต่างๆ ซึ่งไม่นำไปสู่พระนิพพาน
~ มีความไม่รู้ที่สะสมมามานมาก ก็ต้องเป็นหน้าที่ของความเห็นถูก หน้าที่ของความอดทน หน้าที่ของความตรงต่อธรรม และเป็นหน้าที่ของความไม่ประมาทที่จะรู้ว่าการฟังพระธรรมแต่ละครั้งดูเหมือนว่าเหมือนเดิม แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่เลย เพราะปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ
~ ทำความดี ดีกว่ารอ เพราะรอแล้วอาจจะไม่ได้ทำ
~ วันหนึ่งๆ จะเห็นได้ถึงความต่างกันของขณะที่อวิชชาเกิดกับขณะที่ปัญญาเกิด ถ้าเป็นอวิชชา เป็นสภาพที่มืด ทำให้ไม่รู้ความจริง ไม่เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล และ ไม่เห็นหนทางที่ถูกที่ชอบที่ควรจะกระทำ ทำให้คิดก็คิดผิด ทำก็ทำผิด พูดก็พูดผิด แต่ขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล และยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นผู้ที่คิดถูก ทำถูก พูดถูก
~ อยู่ในโลกต่อไป เห็นต่อไป คิดต่อไป รับประทานอาหารต่อไป แต่ไม่เคยรู้ความจริงเลยเหมือนชาติก่อนๆ กับ การได้มีโอกาสได้เริ่มฟังพระธรรม เริ่มเข้าใจ อะไรเป็นประโยชน์?



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๖


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย capacitor4  วันที่ 12 ก.ย. 2565

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 12 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย petsin.90  วันที่ 12 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย mammam929  วันที่ 12 ก.ย. 2565

น้อมกราบบูชาคุณพระรัตนตรัยที่ประเสริฐยิ่ง

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และกราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย Centella  วันที่ 12 ก.ย. 2565

น้อมระลึกถึงพระคุณทั้งสามด้วยเศียรเกล้า


ความคิดเห็น 6    โดย jaturong  วันที่ 12 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย tim7755tim  วันที่ 12 ก.ย. 2565

ขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบบูชาคุณค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย มังกรทอง  วันที่ 12 ก.ย. 2565

เข้าใจธรรมะคือเข้าใจสิ่งที่มีจริง ในความเมตตาที่ท่านอาจารย์สุจินต์ แจ้งให้เรา (จิตและเจตสิก) ได้ฟังได้ไตร่ตรอง จนเข้าใจ และเข้าใจเพิ่มขึ้น จนประจักษ์แจ้ง นำสู่ละความเป็นเรา

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 9    โดย เมตตา  วันที่ 13 ก.ย. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย เมตตา  วันที่ 13 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณและยินดีในความดีของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย Pornkamol  วันที่ 14 ก.ย. 2565

นอบน้อมกราบแทบพระบาท บูชาคุณองค์พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น และกราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบอนุโมทนาในกุศลจิตที่ดีงามของท่านอาจารย์วิทยากร และทุกๆ ท่านด้วย เจ้าค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย xaychlisaengthxng7  วันที่ 14 ก.ย. 2565

กราบบูชาพระรัตนตรัยและบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะท่านอาจารย์


ความคิดเห็น 13    โดย มังกรทอง  วันที่ 4 พ.ย. 2565

ฟังธรรม ในคำองค์พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยความเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ พร้อมไตร่ตรองจนเข้าใจ ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ