ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๘
~ ทุกท่านที่ศึกษาพระธรรมควรพิจารณาจุดประสงค์จริงๆ ของการศึกษาว่า มีความจริงใจต่อการที่จะเข้าใจพระธรรมเพื่อขัดเกลากิเลส เพื่ออบรมเจริญปัญญาที่จะละกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ละได้เด็ดขาด) เท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น นี่คือ สัจจบารมี
~ ถ้าเป็นบารมี หมายความว่าต้องเพื่อให้ถึงฝั่งคือการดับกิเลส และเมื่อมีสัจจบารมีแล้ว ก็มีความมั่นคง คือ อธิษฐานบารมี ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีสักการะ ก็ไม่ใช่เป็นผู้ที่ติดในสักการะ แต่รู้ว่าจุดประสงค์ของการศึกษาว่าเพื่อละความเป็นตัวตน ไม่ใช่เพิ่มความเป็นตัวตนเพราะมีผู้สักการะ จึงจะเป็นผู้มั่นคง ไม่หวั่นไหวในสัจจะ ในความจริงใจ
~ คำพูด ขึ้นอยู่กับกุศลจิตและอกุศลจิตว่าท่านจะพูดด้วยกุศลจิตหรือท่านจะพูดด้วยอกุศลจิต ถ้าเป็นการพูดด้วยอกุศลจิต ไม่มีประโยชน์กับบุคคลใดทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่ควรละเว้น ควรระลึกได้ ควรรู้ว่าไม่ควรเลยที่จะกล่าว คำพูดบางคำอาจสามารถพลิกชีวิตของบุคคลอื่นได้ทั้งชีวิตทีเดียว เป็นไปได้ไหมอย่างนี้? ทำให้เกิดความเสียใจอย่างมากมาย ทำให้ประพฤติในทางที่ไม่เหมาะไม่ควรต่างๆ ซึ่งถ้าบุคคลนั้นงดเว้นวิรัติคำพูดอย่างนั้นเสีย ก็จะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างนั้นขึ้นได้
~ สำหรับการพูดเท็จ จะเห็นได้ว่าถ้าไม่ขัดเกลา ไม่บรรเทา ไม่เห็นว่าเป็นโทษ ไม่เห็นว่าเป็นอกุศลกรรมที่น่ารังเกียจ ก็ย่อมนำมาซึ่งทุจริตกรรมทุกประการได้ เวลาที่คิดทุจริต แม้แต่ก่อนจะกระทำ ก็ยังต้องอำพราง ต้องปกปิด ต้องพูดเท็จ เพื่อที่จะกระทำทุจริตกรรมนั้นให้สำเร็จลงไปได้ แม้ว่ากระทำแล้ว ก็ไม่ปรารถนาที่จะให้บุคคลอื่นเห็น รู้ว่าเป็นทุจริต ก็ยังต้องพูดเท็จ อำพรางปกปิดต่อไปอีก เพราะฉะนั้น จะเห็นโทษจริงๆ ว่า ถ้าคิดว่ามุสาวาทเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เพียรละ ไม่เพียรขัดเกลาแล้ว ย่อมนำมาซึ่งทุจริตกรรมได้ทุกประการ
~ ความเป็นภิกษุต้องเป็นความประพฤติที่สมบูรณ์พร้อมทั้งกาย วาจา ใจในทางที่เป็นกุศล ต่างกับชีวิตของคฤหัสถ์มาก ถ้ามีความบกพร่องในเรื่องของ ความประพฤติที่ไม่ถูกต้องสำหรับเพศบรรพชิตไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมแน่นอน เพราะว่าตั้งต้นก็ไม่ถูก ต่อไปจะถูกได้อย่างไร แม้แต่คฤหัสถ์ก็ตาม ถ้าตั้งต้นไม่ถูก จะไปถึงที่สุดของความถูกต้องที่จะสมบูรณ์ถึงกับการรู้แจ้งอริยสัจจ์ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
~ เมื่อความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธ มีปัจจัยก็เกิด แต่สติอย่างละเอียดพิจารณาได้ไหมว่าไม่มีประโยชน์ ความโกรธไม่มีประโยชน์กับใครเลย การรังเกียจในกายวาจาของบุคคลอื่นก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าสติไม่เกิดอย่างละเอียดก็จะไม่เห็นว่ากายวาจาของบุคคลอื่นซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นนั้น ไม่ใช่เหตุอันแท้จริงที่จะทำให้อกุศลจิตเกิด แต่เหตุอันแท้จริง คือ การสะสมอกุศลของตนเองและไม่เห็นโทษของอกุศล ไม่จริงใจที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าจริงใจที่จะประพฤติปฏิบัติตาม สละความโกรธทันทีได้ และเมตตาก็เกิดได้ทันที แต่ถ้ายังไม่เป็นอย่างนี้ ก็จะมีความโกรธและไม่สามารถขจัดความโกรธหรือบรรเทาความโกรธนั้นได้ เพราะฉะนั้น เมตตาบารมีก็ไม่มีทางเจริญได้
~ ถ้าเราคิดว่าเราโกรธคนนั้นคนนี้ ขณะนั้นคนนั้นคนนี้ไม่มีจริงๆ แต่จิตที่กำลังโกรธเพิ่มความโกรธขึ้นทุกขณะจริงๆ ที่จะสะสมสืบต่อไป แล้วอะไรก็ละไม่ได้ นอกจากปัญญา ปัญญาของคนอื่นก็ละไม่ได้ นอกจากจิตใดสะสมอะไรมาก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้พิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เป็นการน้อมไปสู่การที่จะละอกุศล เพราะปัญญาที่เข้าใจถูกเห็นถูก ไม่มีตัวเราที่จะไปน้อมเลย แต่ต้องเป็นความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น
*** ~ หนทางเดียวที่จะทำให้กิเลสค่อยๆ ลดกำลังลง คือ การเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งการศึกษา การฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียดเพื่อให้เกิดปัญญาที่จะสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งการดำเนินชีวิตในแต่ละวันก็ย่อมแสดงถึงการที่เคยได้ฟังพระธรรม ได้พิจารณาพระธรรมและเข้าใจธรรมในอดีตด้วย***
~ บางคนเวลาทรัพย์สมบัติสูญไปก็เกิดเสียดายว่ารู้อย่างนี้ให้ทานเสียดีกว่า แต่ตอนที่ยังไม่สูญก็ไม่เคยคิดที่จะให้ ต่อเมื่อใดที่สูญทรัพย์สมบัติไปก็เกิดความคิดว่ารู้อย่างนี้ก็ให้ทานเสียดีกว่า หรือขณะที่มีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้รับสิ่งนั้น ก็จะเห็นได้ถึงความต่างกันของคนที่เมื่อต้องการสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นทันที แต่บางคนเพราะเหตุใดต้องการด้วยกัน คนหนึ่งได้ อีกคนหนึ่งไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความต่างกันว่า คนที่เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ต้องเป็น คนที่เคยให้สิ่งที่เป็นทานซึ่งเป็นประโยชน์กับบุคคลอื่นในยามที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลนั้นปรารถนาสิ่งใด ผลของกุศลนั้นก็ทำให้ได้สิ่งที่ปรารถนา ตรงกันข้ามกับบางคน ปรารถนาแล้ว หวังแล้ว คอยไป ก็ไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ
*** ~ การดับกิเลสเป็นเรื่องยาก แต่มีหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาดับกิเลสได้ มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้นจนกระทั่งสามารถหมดความสงสัยในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องยากและไม่มีหนทาง เป็นเรื่องยากแต่มีหนทาง ซึ่งหนทางนั้นก็ยากด้วย แต่ไม่พ้นวิสัยที่จะค่อยๆ อบรมเจริญไป ***
~ ควรที่จะเห็นประโยชน์ของการเป็นมนุษย์ เพราะเหตุว่า มนุษย์สามารถที่จะทำกุศลได้ทุกประการ เกิดมาเพราะกุศลกรรมทำให้เป็นมนุษย์ แต่ก็ยังไม่พอ เพราะว่าสะสมอกุศลมามาก เพราะฉะนั้น ทำความดีทุกโอกาสก็ยังไม่พอ ต้องเข้าใจธรรมด้วย เพราะว่า หลายคนเกิดมาเป็นคนดีตามการสะสม แต่ก็เป็นคนที่ไม่สามารถที่จะรู้จักธรรม ตามความเป็นจริงได้
~ เข้าใจคำว่า “ธรรม” คือสิ่งที่มีจริงก่อน จะรู้หรือไม่รู้ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ธรรมก็เป็นธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงตรัสรู้หรือไม่ทรงตรัสรู้ ธรรมก็เป็นธรรม หลังจากที่ปรินิพพานแล้ว ธรรมก็เป็นธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมได้เลย
~ ชีวิตจริงๆ ก็คือ แต่ละขณะที่เกิดขึ้นเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง แค่นี้เอง จะเข้าใจถูกไหมในสิ่งที่มีจริงๆ หรือว่าจะไปคิดเรื่องอื่น เป็นตำรับตำรามากมาย แล้วก็ไม่รู้ความจริงว่า ขณะนี้เป็นชีวิตแต่ละขณะ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย แล้วก็ไม่ใช่ของใครด้วย
~ แต่ละคำที่มีในพระไตรปิฎก สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้ได้ เพราะว่าทรงแสดงความจริงของธรรมซึ่งเป็นธรรม แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม เมื่อความรู้เกิดขึ้นว่าเป็นธรรม ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร มีปัจจัยจะให้ธรรมอะไรเกิดขึ้นเป็นไป ก็ต้องเป็นไปตามการสะสม แต่ก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ว่าสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยนั้นจะหลากหลายต่างกับที่เคยเกิดก็รู้ว่าเป็นเพียงธรรม ไม่ใช่เรา
~ ธรรมเป็นอนัตตา เป็นอนัตตาจริง แต่ไม่อิสระ (คือ ไม่เป็นใหญ่) เพราะว่า ต้องเป็นไปตามปัจจัย นี่คือ การที่เราจะเข้าใจว่าไม่มีเรา ฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นการที่จะสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ขณะที่ต่างกัน กุศลจิตไม่ใช่อกุศลจิต และไม่ใช่การที่จะไปบังคับ แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจนั้นก็จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดมากกว่าแต่ก่อนได้
~ พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่ไม่ทรงแสดงหรือว่าไม่ใช่ไม่เห็นประโยชน์ แต่ทรงแสดงให้เห็นละเอียดและความลึกซึ้งว่าที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นนี้ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ก็ให้รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย และก็ดับไปสืบต่อจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจความจริง ความรู้จะละความไม่รู้ เมื่อรู้แล้วก็จะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา
*** ~ ทำงานก็เป็นคนดีได้ ไม่ใช่ว่าต้องไม่ทำงานถึงจะเป็นคนดีได้ ***
~ ถ้าไม่รู้ธรรมเลย ชีวิตทุกคนก็เป็นไปตามโลภะ โทสะ โมหะ แต่พอรู้ว่าเป็นธรรม ประโยชน์ก็คือจากที่ไม่เคยรู้เลย เป็นความรู้ที่ค่อยๆ รู้ขึ้นว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่มี ชั่วคราว เห็นชั่วคราว ได้ยินชั่วคราว และไม่สามารถที่จะบันดาลให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดได้ แล้วสิ่งที่เกิดแล้วจะไม่ให้หมดไปก็ไม่ได้ นี่คือความเห็นถูกความเข้าใจถูก เป็นประโยชน์ไหมที่ได้รู้ความจริงอย่างนี้? เพราะฉะนั้น ประโยชน์จะยิ่งมีมากขึ้นเมื่อมีความเข้าใจความจริงยิ่งขึ้น
~ ควรพิจารณาเห็นอกุศลตามความเป็นจริงและเห็นโทษ เพียรที่จะละคลายอกุศลทุกประการ และคิดถึงบุคคลอื่นในทางที่เป็นกุศล พร้อมกันนั้น เป็นผู้ที่ทำความดีเสมอและเพิ่มขึ้น เพราะว่าอกุศลมีมาก ซึ่งทางเดียวที่จะคลายอกุศลได้ คือ ด้วยการเจริญกุศล
~ ถ้าพิจารณาโดยความเป็นธาตุ (สภาพที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน) ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ไม่มีชื่อเลย อย่างการเห็น ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง การได้ยินก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง การได้กลิ่นก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เอาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนออก จะเห็นตามความเป็นจริงว่า แต่ละขณะนี้เป็นเพียงแต่ละธาตุ ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ กันเกิดขึ้นปรากฏและดับไป
*** ~ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ มีการเสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีการนินทา มีสุขแล้วก็ต้องเสื่อมไปเป็นทุกข์ แล้วแต่อะไรจะเกิดก่อน เกิดหลัง เมื่อไหร่ แสดงถึงความไม่เที่ยง แต่เพราะไม่รู้ ก็โศกเศร้า แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างหาเป็นของใครไม่ ***
~ เพียงแค่หนึ่งคนที่สะสมมาที่จะเข้าใจความจริงประโยชน์มหาศาลจากคนนั้น ที่เข้าใจแล้วจะดีขึ้น ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้น เพราะรู้ความจริง คนทั้งโลกจะไม่ได้รับภัยจากคนที่เข้าใจธรรม
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๗


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ทุกอย่างหาเป็นของใครไม่
มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ มีการเสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีการนินทา มีสุขแล้วก็ต้องเสื่อมไปเป็นทุกข์ แล้วแต่อะไรจะเกิดก่อน เกิดหลัง เมื่อไหร่ แสดงถึงความไม่เที่ยง แต่เพราะไม่รู้ ก็โศกเศร้า แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างหาเป็นของใครไม่
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ