๘. วิปัลลาสกถา ว่าด้วยวิปลาส ๔
โดย บ้านธัมมะ  26 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40959

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 423

มหาวรรค

๘. วิปัลลาสกถา

ว่าด้วยวิปลาส ๔ หน้า 423

อรรถกถาวิปัลลาสกถา หน้า 425


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 423

มหาวรรค

วิปัลลาสกถา

ว่าด้วยวิปลาส ๔

นิทานบริบูรณ์

[๕๒๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาสนี้ มี ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสำคัญผิด (แปรปรวน) ความคิดผิด ความเห็นผิด ในสภาพที่ไม่เที่ยงว่า เที่ยง ในสภาพที่เป็นทุกข์ว่า เป็นสุข ในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่า ตัวตน ในสภาพที่ไม่งามว่า งาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส ๔ ประการนี้แล.

[๕๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิไม่วิปลาสนี้ มี ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสำคัญไม่ผิด ความคิดไม่ผิด ความเห็นไม่ผิด ในสภาพที่ไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง ในสภาพที่เป็นทุกข์ว่า เป็นทุกข์ ในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่า มิใช่ตัวตน ในสภาพที่ไม่งามว่า ไม่งาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล.

สัตว์ทั้งหลายมีความสำคัญในสภาพที่ไม่เที่ยงว่า เที่ยง มีความสำคัญในสภาพที่เป็นทุกข์ว่า เป็นสุข มีความสำคัญในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่า เป็นตัวตน มีความสำคัญในสภาพที่ไม่งามว่า งาม ถูกความเห็นผิดนำไป มีจิตกวัดแกว่ง มีสัญญาผิด (มีความสำคัญผิด) สัตว์เหล่านั้นติดอยู่ในบ่วงของมาร เป็นสัตว์ไม่มีความปลอดโปร่งจากกิเลส ต้อง


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 424

ไปสู่สงสาร เป็นผู้ถึงชาติและมรณะ เมื่อใดพระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงส่องแสงสว่าง พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงประกาศธรรมนี้ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ เมื่อนั้น สัตว์ทั้งหลายผู้มีปัญญา ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้วกลับได้ความคิดชอบ เห็นสภาพที่ไม่เที่ยงโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เห็นสภาพที่เป็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ เห็นสภาพที่มิใช่ตัวตนโดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน และเห็นสภาพที่ไม่งามว่าไม่งาม เป็นผู้ถือมั่นสัมมาทิฏฐิ ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง ฉะนี้แล.

วิปลาส ๔ ประการนี้ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิละได้แล้วก็มี ยังละไม่ได้ก็มี วิปลาสเหล่าใดละได้แล้ว เหล่าใดยังละไม่ได้ ความสำคัญผิด ความคิดผิด ความเห็นผิดในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ละได้แล้ว ความสำคัญ (ผิด) ความคิด (ผิด) ในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ยังเกิดขึ้น ความเห็นผิดในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ละได้แล้ว ความสำคัญผิด ความคิดผิด ความเห็นผิดในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน ละได้แล้ว ความสำคัญผิด ความคิดผิดในสภาพที่ไม่งามว่างาม ยังเกิดขึ้น ทิฏฐิวิปลาส (ความเห็นผิด) ในสภาพที่ไม่งามว่างาม ละได้แล้ว วิปลาส ๖ ในวัตถุ ๒ ละได้แล้ว วิปลาส ๒ ในวัตถุ ๒ ละได้แล้ว วิปลาส ๔ ยังละไม่ได้ (สรุปว่า) วิปลาส ๘ ในวัตถุ ๔ ละได้แล้ว วิปลาส ๔ ยังละไม่ได้แล.

จบวิปัลลาสกถา


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 425

อรรถกถาวิปัลลาสกถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งวิปัลลาสกถา อันมีพระสูตรเป็นบทนำ ที่พระสารีบุตรเถระแสดงวิปัลลาสะ อันเป็นปัจจัยของกรรมนั้นกล่าวแล้ว พึงทราบความในพระสูตรก่อน.

บทว่า สญฺญาวิปลฺลาสา (สัญญาวิปลาส) คือมีความสำคัญคลาดเคลื่อนเป็นสภาวะ อธิบายว่า มีสัญญาวิปริต แม้ในสองบท (สองคำ) ที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน สัญญาวิปลาส ย่อมปรากฏในกาลแห่งกิจของตนมีกำลัง ด้วยอกุศลสัญญาปราศจากทิฏฐิ ในที่ที่กิจของจิตมีกำลังอ่อน.

จิตตวิปลาส ย่อมเป็นไปในกาลที่กิจของตนเป็นอกุศลจิตปราศจากทิฏฐิมีกำลัง.

ทิฏฐิวิปลาส ย่อมเป็นไปในจิตอันสัมปยุตด้วยทิฏฐิ.

เพราะฉะนั้น สัญญาวิปลาสมีกำลังอ่อนกว่าทั้งหมด จิตตวิปลาสมีกำลังมากกว่าสัญญาวิปลาสนั้น ทิฏฐิวิปลาสมีกำลังมากกว่าทั้งหมด จริงอยู่ ชื่อว่า ความสำคัญ (สัญญา) เพราะถือเอาเพียงอาการปรากฏแห่งอารมณ์ ดุจการเห็นกหาปณะของทารกที่ยังไม่รู้เดียงสา ชื่อว่า ความคิด (จิต) เพราะให้ถึงแม้การรู้แจ้งลักษณะ ดุจการเห็นกหาปณะของคนชาวบ้าน ชื่อว่า ความเห็น (ทิฏฐิ) เพราะยึดถือลูบคลำ ดุจการจับเหล็กด้วยคีมใหญ่ของช่างเหล็ก.

บทว่า อนิจฺเจ นิจฺจนฺติ สญฺาวิปลฺลาโส (ความสำคัญผิดในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง) คือความสำคัญ (สัญญา) อันเกิดขึ้น เพราะถือเอาในวัตถุไม่เที่ยงว่า นี้เที่ยง ชื่อว่า สัญญาวิปลาส พึงทราบความในบททั้งปวงโดยนัยนี้.


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 426

บทว่า น สญฺาวิปลฺลาโส น จิตฺตวิปลฺลาโส น ทิฏฺิวิปลฺลาโส (ความสำคัญไม่ผิด ความคิดไม่ผิด ความเห็นไม่ผิด) ท่านกล่าวถึง การถือเอาตามความเป็นจริง เพราะไม่มีการถือผิด ๑๒ อย่างในวัตถุ ๔ อย่าง.

พึงทราบความในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้.

บทว่า อนตฺตนิ จ อตฺตา (มีความสำคัญในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน) คือมีความสำคัญอย่างนี้ว่า ตัวตน ในสภาพที่มิใช่ตัวตน.

บทว่า มิจฺฉาทิฏฺิหตา (ถูกความเห็นผิดนำไป) คือไม่เพียงมีความสำคัญ (ผิด) อย่างเดียวเท่านั้น ยังถูกความเห็นผิดอันเกิดขึ้นดุจด้วยสัญญา (ความสำคัญ) นำไป.

บทว่า ขิตฺตจิตฺตา (มีจิตกวัดแกว่ง) คือประกอบด้วยจิตกวัดแกว่ง หมุนไป อันเกิดขึ้นดุจด้วยสัญญาและทิฏฐิ.

บทว่า วิสญฺิโน (มีสัญญาผิด) นี้เป็นเพียงเทศนา ความว่า มีความสำคัญ ความคิดและความเห็นวิปริต.

อีกอย่างหนึ่ง เพราะสัญญาเป็นตัวนำ ท่านจึงกล่าวสัญญาวิปลาสด้วยบททั้ง ๔ ก่อนทิฏฐิ แต่นั้นจึงกล่าวทิฏฐิวิปลาส ด้วยบทว่า มิจฺฉาทิฏฺิหตา (ถูกมิจฉาทิฏฐินำไป) กล่าวจิตตวิปลาสด้วยบทว่า ขิตฺตจิตฺตา (มีจิตกวัดแกว่ง).

บทว่า วิสญฺิโน (มีสัญญาผิด) คือถึงโมหะ (ความหลง) ปราศจากสัญญาปกติ ด้วยการถือวิปลาส ๓ ดุจในบทนี้ว่า สลบเพราะกำลังพิษ ถึงวิสัญญี (หมดความรู้สึก).

บทว่า เต โยคยุตฺตา มารสฺส (สัตว์เหล่านั้นติดอยู่ในบ่วงของมาร) คือสัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า ติดอยู่ในบ่วงของมาร.

บทว่า อโยคกฺเขมิโน (เป็นสัตว์ไม่มีความปลอดโปร่งจากกิเลส) คือไม่บรรลุนิพพานอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ คือจัญไร ๔.

บทว่า สตฺตา คจฺฉนฺติ สํสารํ (สัตว์ทั้งหลายต้องไปสู่สงสาร) คือบุคคลเหล่านั้นแหละ ต้องท่องเที่ยวไปสู่สงสาร เป็นอย่างไร (เพราะเหตุไร) เพราะสัตว์เหล่านั้นต้องไปสู่ชาติและมรณะ ชาติมรณคามิโน (เป็นผู้ถึงชาติและมรณะ) ฉะนั้น จึงต้องท่องเที่ยวไป.

บทว่า พุทฺธา (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) คือพระสัพพัญญูผู้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ เป็นพหุวจนะด้วยสามารถทั่วไปใน ๓ กาล (อดีต ปัจจุบัน อนาคต).

บทว่า โลกสฺมิํ (ในโลก) คือ


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 427

ในโอกาสโลก.

บทว่า ปภงฺกรา (ทรงส่องแสงสว่าง) คือทำโลกให้สว่างด้วยปัญญา.

บทว่า อิมํ ธมฺมํ ปกาเสนฺติ (พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประกาศพระธรรม) คือทรงแสดงธรรมละความวิปลาส.

บทว่า ทุกฺขูปสมคามินํ (อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์) คือถึงนิพพานอันเป็นความสงบระงับทุกข์.

บทว่า เตสํ สุตฺวาน (ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น) คือฟังแล้วซึ่งธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น.

บทว่า สปฺปญฺา (ผู้มีปัญญา) คือมีปัญญาอันเป็นความสมควร (เป็นภัพพบุคคลผู้มีปัญญา).

บทว่า สจิตฺตํ ปจฺจลทฺธุ (กลับได้ความคิดชอบ) คือกลับได้ ( ปฏิลภิตฺวา ) ความคิด (จิต) ของตนเว้นความวิปลาส ตัดบทเป็น ปฏิอลทฺธุ อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ปฏิลภิํสุ ตัดบทเป็น ปฏิอลทธุํ.

บทว่า อนิจฺจโต ทกฺขุํ (ได้เห็น โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง) คือได้เห็นด้วยสามารถแห่งความเป็นสภาพไม่เที่ยงนั่นเอง.

บทว่า อนตฺตนิ อนตฺตา (ได้เห็น สภาพที่มิใช่ตัวตนโดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน) คือได้เห็นว่า ความไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นความไม่ใช่ตัวตน อีกอย่างหนึ่ง ได้เห็นว่า สภาพมิใช่ตัวตนว่า ตัวตนไม่มีในวัตถุ.

บทว่า สมฺมาทิฏฺิสมาทานา (เป็นผู้ถือมั่นในสัมมาทิฏฐิ) คือถือความเห็นชอบ.

บทว่า สพฺพทุกฺขํ อปจฺจคุํ (ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง) คือก้าวล่วงวัฏทุกข์ทั้งสิ้น.

พึงทราบวินิจฉัยในคำถามถึงวิปลาส ที่ละได้แล้ว และยังละไม่ได้ ดังนี้.

บทว่า ทิฏฺิสมฺปนฺนสฺส (ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ) คือพระโสดาบัน.

บทว่า ทุกฺเข สุขนฺติ สญฺา อุปฺปชฺชติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ (ความสำคัญ ความคิดในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุขย่อมเกิดขึ้น) คือเพียง (สักว่า) ความสำคัญหรือเพียงความคิดย่อมเกิดขึ้น เพราะยังละความสะสมโมหกาลไม่ได้ (เพราะยังละความมืด คือโมหะไม่ได้) ย่อมเกิดขึ้นแม้แก่พระอนาคามี ไม่ต้องพูดถึงแก่พระโสดาบัน วิปลาสทั้งสองนี้ พระอรหันต์เท่านั้นจึงละได้.

บทว่า อสุเภ สุภนฺติ สญฺา อุปฺปชฺชติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ (ความสำคัญ ความคิดในสภาพที่ไม่งามว่างามยังเกิดขึ้น) คือเกิดขึ้นแม้แก่พระสกทาคามี


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 428

ไม่ต้องพูดถึงแก่พระโสดาบัน ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า วิปลาสทั้งสองนี้ พระอนาคามีจึงละได้ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ทั้งสองนี้ ท่านกล่าวหมายถึงพระโสดาบันและพระสกทาคามี พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงการละความสำคัญผิด ความคิดผิดในสภาพไม่งามว่างาม เพราะพระอนาคามีละกามราคะได้แล้ว.

ด้วยบทว่า ทฺวีสุ วตฺถูสุ (ในวัตถุ ๒) เป็นอาทิ ท่านแสดงสรุปถึงวิปลาสที่ละได้และที่ยังละไม่ได้ ในบทนั้น เป็นอันละวิปลาส ๖ ในวัตถุ ๒ เหล่านี้ คือในสภาพไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสภาพมิใช่ตัวตนว่าตัวตน เป็นอันละทิฏฐิวิปลาส ๒ ในวัตถุ ๒ เหล่านี้ คือในสภาพเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสภาพไม่งามว่างาม ในคัมภีร์บางคัมภีร์ ท่านเขียน บทว่า เทฺว (๒) ก่อนเขียนบทว่า (๖) ในภายหลัง.

บทว่า จตูสุ วตฺถูสุ (ในวัตถุ ๔) ท่านกล่าวถึงวัตถุ ๔ รวมกันไว้.

บทว่า อฏฺ (๘) ได้แก่ วิปลาส ๖ ในวัตถุ ๒ และวิปลาส ๒ ในวัตถุ ๒ รวมเป็นวิปลาส ๘.

บทว่า จตฺตาโร (๔) คือวิปลาส ๔ ได้แก่ สัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาสอย่างละ ๒ ในวัตถุหนึ่งๆ ในบรรดาวัตถุที่เป็นทุกข์และไม่งาม ในคัมภีร์บางคัมภีร์ ท่านเขียนไว้อย่างนั้นเหมือนกัน แม้ในที่ที่ท่านกล่าวว่า ฉ ทฺวีสุ (วิปลาส ๖ ในวัตถุ ๒) ดังนี้แล.

จบอรรถกถาวิปัลลาสกถา