๑๐. มัณฑเปยยกถา ว่าด้วยความผ่องใส ๓ อย่าง
โดย บ้านธัมมะ  26 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40961

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 434

มหาวรรค

๑๐. มัณฑเปยยกถา

ว่าด้วยความผ่องใส ๓ อย่าง หน้า 434

อรรถกถามัณฑเปยยกถา หน้า 443


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 434

มหาวรรค มัณฑเปยยกถา

ว่าด้วยความผ่องใส ๓ อย่าง

[๕๓๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ในพระศาสดาซึ่งมีอยู่เฉพาะหน้า เป็นพรหมจรรย์อันผ่องใสควรดื่ม ความผ่องใสในพระศาสดาซึ่งมีอยู่เฉพาะหน้ามี ๓ ประการ คือความผ่องใสแห่งเทศนา ๑ ความผ่องใสแห่งการรับ ๑ ความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์ ๑.

ความผ่องใสแห่งเทศนาเป็นไฉน การบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย การจำแนก การทำให้ง่าย ซึ่งอริยสัจ ๔ การบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย การจำแนก การทำให้ง่าย ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ ฯ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นความผ่องใสแห่งเทศนา.

ความผ่องใสแห่งการรับเป็นไฉน ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ หรือท่านผู้รู้แจ้งพวกใดพวกหนึ่ง นี้เป็นความผ่องใสแห่งการรับ.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 435

ความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์เป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เป็นความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์.

[๕๓๑] สัทธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการน้อมใจเชื่อ ความไม่มีศรัทธาเป็นกาก บุคคลทิ้งความไม่มีศรัทธาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความน้อมใจเชื่อแห่งสัทธินทรีย์ เพราะเหตุนั้น สัทธินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม วิริยินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก บุคคลทิ้งความเกียจคร้านอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความประคองไว้ของวิริยินทรีย์ เพราะเหตุนั้น วิริยินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สตินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น (ความปรากฏ) ความประมาทเป็นกาก บุคคลทิ้งความประมาทอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความตั้งมั่นของสตินทรีย์ เพราะเหตุนั้น สตินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สมาธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก บุคคลทิ้งอุทธัจจะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านแห่งสมาธินทรีย์ เพราะเหตุนั้น สมาธินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปัญญินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการเห็น อวิชชาเป็นกาก บุคคลทิ้งอวิชชาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการเห็นของปัญญินทรีย์ เพราะเหตุนั้น ปัญญินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม.

สัทธาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นกาก บุคคลทิ้งความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความไม่มีศรัทธาแห่งสัทธาพละ เพราะเหตุนั้น สัทธาพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความ


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 436

ผ่องใสควรดื่ม วิริยพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน ความเกียจคร้านเป็นกาก บุคคลทิ้งความเกียจคร้านอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้านแห่งวิริยพละ เพราะเหตุนั้น วิริยพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สติพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความประมาท ความประมาทเป็นกาก บุคคลทิ้งความประมาทอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความประมาทแห่งสติพละ เพราะเหตุนั้น สติพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สมาธิพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ อุทธัจจะเป็นกาก บุคคลทิ้งอุทธัจจะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสเเห่งความไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะแห่งสมาธิพละ เพราะเหตุนั้น สมาธิพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปัญญาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอวิชชา อวิชชาเป็นกาก บุคคลทิ้งอวิชชาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอวิชชาแห่งปัญญาพละ เพราะเหตุนั้น ปัญญาพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม.

สติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ความประมาทเป็นกาก บุคคลทิ้งความประมาทอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น (ความปรากฏ) แห่งสติสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น สติสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการเลือกเฟ้น อวิชชาเป็นกาก บุคคลทิ้งอวิชชาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการเลือกเฟ้นแห่งธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม วิริยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก บุคคลทิ้งความเกียจคร้านอันเป็นกาก


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 437

เสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการประคองไว้แห่งวิริยสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น วิริยสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปีติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่าน ความเร่าร้อนเป็นกาก บุคคลทิ้งความเร่าร้อนอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่านไปแห่งปีติสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น ปีติสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความสงบ ความชั่วหยาบเป็นกาก บุคคลทิ้งความชั่วหยาบอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความสงบแห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก บุคคลทิ้งอุทธัจจะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านแห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทาง การไม่พิจารณาหาทางเป็นกาก บุคคลทิ้งการไม่พิจารณาหาทางอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทางแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม.

สัมมาทิฏฐิเป็นความผ่องใสแห่งการเห็น มิจฉาทิฏฐิเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาทิฏฐิอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการเห็นแห่งสัมมาทิฏฐิ เพราะเหตุนั้น สัมมาทิฏฐิจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาสังกัปปะเป็นความผ่องใสแห่งความดำริ มิจฉาสังกัปปะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาสังกัปปะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความดำริแห่งสัมมาสังกัปปะ เพราะเหตุนั้น สัมมาสังกัปปะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 438

สัมมาวาจาเป็นความผ่องใสแห่งการกำหนด (ถือ) มิจฉาวาจาเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาวาจาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการกำหนด (ถือ) แห่งสัมมาวาจา เพราะเหตุนั้น สัมมาวาจาจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมากัมมันตะเป็นความผ่องใสแห่งสมุฏฐาน (สภาพที่ตั้งขึ้น) มิจฉากัมมันตะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉากัมมันตะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งสมุฏฐานของสัมมากัมมันตะ เพราะเหตุนั้น สัมมากัมมันตะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาอาชีวะเป็นความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้ว มิจฉาอาชีวะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาอาชีวะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้วของสัมมาอาชีวะ เพราะเหตุนั้น สัมมาอาชีวะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาวายามะเป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ มิจฉาวายามะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาวายามะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการประคองไว้ของสัมมาวายามะ เพราะเหตุนั้น สัมมาวายามะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาสติเป็นความผ่องใสแห่งการตั้งมั่น (ความปรากฏ) มิจฉาสติเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาสติอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการตั้งมั่นของสัมมาสติ เพราะเหตุนั้น สัมมาสติจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาสมาธิเป็นความผ่องใสแห่งความไม่ ฟุ้งซ่าน มิจฉาสมาธิเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาสมาธิอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านของสัมมาสมาธิ เพราะเหตุนั้น สัมมาสมาธิจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม.

[๕๓๒] ความผ่องใสมีอยู่ ธรรมที่ควรดื่มมีอยู่ กากมีอยู่ สัทธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการน้อมใจเชื่อ ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัทธินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม วิริยินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 439

วิมุตติรสในวิริยินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สตินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ความประมาทเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสตินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สมาธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสมาธินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปัญญินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการเห็น อวิชชาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในปัญญินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม.

สัทธาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัทธาพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม วิริยพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน ความเกียจคร้านเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในวิริยินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สติพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความประมาท ความประมาทเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสติพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สมาธิพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ อุทธัจจะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสมาธิพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปัญญาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอวิชชา อวิชชาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในปัญญาพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม.

สติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ความประมาทเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสติสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการเลือกเฟ้น อวิชชาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในธรรมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม วิริยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 440

อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปีติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่าน ความเร่าร้อนเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในปีติสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความสงบ ความชั่วหยาบเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทาง การไม่พิจารณาหาทางเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม.

[๕๓๓] สัมมาทิฏฐิเป็นความผ่องใสแห่งการเห็น มิจฉาทิฏฐิเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัมมาทิฏฐินั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาสังกัปปะเป็นความผ่องใสแห่งความดำริ มิจฉาสังกัปปะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัมมาสังกัปปะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาวาจาเป็นความผ่องใสแห่งความกำหนด มิจฉาวาจาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัมมาวาจานั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมากัมมันตะเป็นความผ่องใสแห่งสมุฏฐาน (สภาพที่ตั้งขึ้น) อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัมมากัมมันตะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาอาชีวะเป็นความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้ว มิจฉาอาชีวะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัมมาอาชีวะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาวายามะเป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ มิจฉาวายามะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัมมาวายามะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาสติเป็นความผ่องใสแห่งการตั้งมั่น (ความปรากฏ) มิจฉาสตินั้นเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัมมาสตินั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาสมาธิเป็น


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 441

ความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน มิจฉาสมาธิเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรสในสัมมาสมาธินั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม.

สัมมาทิฏฐิเป็นความผ่องใสแห่งการเห็น สัมมาสังกัปปะเป็นความผ่องใสแห่งความดำริ (ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์) สัมมาวาจาเป็นความผ่องใสเเห่งการกำหนด (กำหนดถือ) สัมมากัมมันตะเป็นความผ่องใสแห่งสมุฏฐาน (สภาพที่ตั้งขึ้น) สัมมาอาชีวะเป็นความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้ว สัมมาวายามะเป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้ สัมมาสติเป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น (ความปรากฏ) สัมมาสมาธิเป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน สติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความเลือกเฟ้น วิริยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้ ปีติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่าน ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความสงบ สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทาง สัทธาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา วิริยพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน สติพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความประมาท สมาธิพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ ปัญญาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอวิชชา สัทธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความน้อมใจเชื่อ วิริยินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้ สตินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการตั้งมั่น สมาธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการเห็น อินทรีย์เป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ พละเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว โพชฌงค์เป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า นำออก มรรคเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นเหตุ สติปัฏฐานเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าตั้งมั่น สัมมัปปธานเป็นความ


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 442

ผ่องใสเพราะอรรถว่า เริ่มตั้งไว้ (ตั้งไว้) อิทธิบาทเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า ให้สำเร็จ (๑) สมถะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสสนาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า พิจารณาเห็น สมถะและวิปัสสนาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ธรรมที่เป็นคู่กันเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า ไม่ล่วงเกินกัน สีลวิสุทธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า สำรวม จิตตวิสุทธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เห็น วิโมกข์เป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า หลุดพ้น วิชชาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า แทงตลอด วิมุตติเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า ปล่อยวาง (ปล่อย) ขยญาณ (ญาณในความสิ้นไป) เป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า ตัดขาด ญาณในความไม่เกิดขึ้นเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า สงบระงับ ฉันทะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นมูล มนสิการเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นสมุฏฐาน ผัสสะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นที่ประชุม เวทนาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นที่รวม สมาธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นประธาน สติเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ ปัญญาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นธรรมยิ่งกว่าธรรมนั้น วิมุตติเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นสาระ นิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นที่สุด ฉะนี้แล.

จบมัณฑเปยยกถา

จบภาณวาร

จบมหาวรรคที่ ๑


(๑) พม่า. สัจจะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า ถ่องแท้.


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 443

อรรถกถามัณฑเปยยกถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพิจารณาแห่งมัณฑเปยยกถา (ของใสที่ควรดื่มเทียบด้วยคุณธรรม) อันเป็นเบื้องต้นส่วนหนึ่งของพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันพระสารีบุตรแสดงความที่มรรคนั้นเป็นธรรมผ่องใสควรดื่ม กล่าวไว้แล้ว.

ในบทเหล่านั้น บทว่า มณฺฑเปยฺยํ (เป็นพรหมจรรย์ผ่องใสควรดื่ม) ชื่อว่า มณฺโฑ ด้วยอรรถว่า ผ่องใส เหมือนอย่างเนยใสที่สมบูรณ์ สะอาด ใส ท่านเรียกว่า สัปปิมัณฑะ (ความผ่องใสของเนยใส) ฉะนั้น ชื่อว่า เปยฺยํ ด้วยอรรถว่า ควรดื่ม ชนทั้งหลายดื่มของควรดื่มใดแล้วลงไป (ล้มสลบไป) ในระหว่างถนน หมดความรู้ แม้ผ้านุ่งเป็นต้นของตนก็ไม่อยู่กับตัว ของควรดื่มนั้นแม้ใสก็ไม่ควรดื่ม ส่วนศาสนพรหมจรรย์ คือไตรสิกขานี้ของเรา ชื่อว่า ใส (ผ่องใส) เพราะสมบูรณ์ เพราะไม่มีมลทิน เพราะผ่องใส และชื่อว่า ควรดื่ม เพราะนำประโยชน์สุขมาให้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงว่า เป็นพรหมจรรย์ผ่องใสควรดื่ม ชื่อว่า มณฺฑเปยฺยํ เพราะมีความผ่องใสควรดื่มนั้น คืออะไร คือศาสนพรหมจรรย์ เพราะเหตุไรไตรสิกขาจึงชื่อว่า พรหมจรรย์ นิพพาน ชื่อว่า พรหม เพราะอรรถว่า สูงสุด ไตรสิกขาเป็นความประพฤติเพื่อประโยชน์แก่ความสูงสุดเพราะเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่นิพพาน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นพรหมจรรย์ ศาสนพรหมจรรย์ก็คือ ไตรสิกขานั้นนั่นเอง.

บทว่า สตฺถา สมฺมุขีภูโต (เมื่อพระศาสดายังมีอยู่เฉพาะหน้านี้) เป็นคำแสดงถึงเหตุในบทนี้ ก็เพราะพระศาสดามีอยู่เฉพาะหน้า ฉะนั้นท่านทั้งหลาย


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 444

จงประกอบความเพียร ดื่มพรหมจรรย์อันผ่องใสนี้เถิด เพราะเมื่อดื่มยาใสข้างนอกไม่ได้อยู่ต่อหน้าหมอ ย่อมมีความสงสัยว่า เราไม่รู้ขนาด (ปริมาณ) หรือการเพิ่มขึ้นลดลง แต่อยู่ต่อหน้าหมอก็หมดสงสัยด้วยคิดว่า หมอจักรู้จักดื่ม พระศาสดาผู้เป็นพระธรรมสามีของพวกเรามีอยู่เฉพาะหน้าอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น จึงทรงชักชวนในการดื่มพรหมจรรย์อันผ่องใสว่า พวกเธอจงทำความเพียรแล้วดื่มเถิด ชื่อว่า สตฺถา (พระศาสดา) เพราะทรงตามสั่งสอนตามสมควรด้วยทิฏฐธรรมิกประโยชน์ สัมปรายิกประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์ อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอรรถในบทนี้ แม้โดยนัยแห่งนิเทศมีอาทิว่า สตฺถา ภควา สตฺถวาโห (พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระศาสดา ทรงเป็นผู้นำหมู่ ชื่อว่า สัตถวาหะ ชื่อว่า สมฺมุขีภูโต (ยังมีอยู่เฉพาะหน้า) เพราะมีหน้าปรากฏอยู่.

พึงทราบวินิจฉัยในมัณฑเปยยนิเทศดังต่อไปนี้.

บทว่า ติธตฺตมณฺโฑ (ความผ่องใสมีอยู่ ๓ ประการ) ชื่อว่า ติธตฺตะ (ความเป็นโดย ๓ ประการ) ความผ่องใสในพระศาสดาซึ่งมีอยู่เฉพาะหน้ามี ๓ ประการ ชื่อว่า ติธตฺตมณฺฑะ ความว่า ความผ่องใสมี ๓ อย่าง.

บทว่า สตฺถริ สมฺมุขีภูเต (ในพระศาสดาซึ่งมีอยู่เฉพาะหน้านี้) ท่านกล่าวเพื่อแสดงความผ่องใส ๓ ประการอันบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง แม้เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพาน ความผ่องใส ๓ ประการยังเป็นไปอยู่โดยเอกเทศ (* เฉพาะตัว หรือส่วนหนึ่งต่างหาก) อนึ่ง ในนิเทศแห่งบทนั้น พึงทราบว่า ท่านมิได้กล่าวว่า สตฺถริ สมฺมุขีภูเต แล้วกล่าวว่า กตโม เทสนามณฺโฑ (ความผ่องใสแห่งเทศนาเป็นไฉน).

บทว่า เทสนามณฺโฑ (ความผ่องใสแห่งเทศนา) คือธรรมเทศนานั่นแหละเป็นความผ่องใส.

บทว่า ปฏิคฺคหมณฺโฑ (ความผ่องใสแห่งการรับ) คือผู้รับเทศนานั่นแหละเป็นผู้ผ่องใส.

บทว่า พฺรหฺมจริยมณฺโฑ (ความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์) คือมรรคพรหมจรรย์นั่นแหละเป็นความผ่องใส.


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 445

บทว่า อาจิกฺขนา (การบอก) คือการกล่าวโดยชื่อว่า ชื่อทั้งหลายเหล่านี้แห่งสัจจะเป็นต้นอันควรแสดง.

บทว่า เทสนา (การแสดง) คือการชี้แจง.

บทว่า ปญฺปนา (การบัญญัติ) คือการให้รู้ หรือการตั้งไว้ในมุข คือญาณ จริงอยู่ เมื่อตั้งอาสนะไว้ ท่านกล่าวว่า ปู (บัญญัติ) อาสนะ.

บทว่า ปฏฺปนา (การแต่งตั้ง) คือการบัญญัติ อธิบายว่า ความเป็นไป หรือการตั้งไว้ในมุข คือญาณ.

บทว่า วิวรณา (การเปิดเผย) คือทำการเปิดเผย ความว่า ชี้แจงเปิดเผย.

บทว่า วิภชนา (การจำแนก) คือทำการจำแนก ความว่า ชี้แจง (แสดง) โดยการจำแนก.

บทว่า อุตฺตานีกมฺมํ (การทำให้ง่าย) คือการทำความปรากฏ (การทำให้ปรากฏชัด).

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อาจิกฺขนา (การบอก) เป็นบทแสดงเหตุของบท ๖ บท (เป็นมูลบทแห่งคำ ๖ คำ) มีเทศนา (การแสดง) เป็นต้น ท่านกล่าว ๖ บทมีเทศนาเป็นต้น เพื่อขยายความแห่งบทว่า อาจิกฺขนา ใน ๖ บทนั้น.

บทว่า เทสนา คือการแสดงโดยยกหัวข้อขึ้นก่อนโดยสังเขป ด้วยสามารถแห่งอุคฆฏิตัญญูบุคคล เพราะอุคฆฏิตัญญูบุคคลย่อมรู้แจ้งแทงตลอดบทที่ท่านกล่าวโดยสังเขปและกล่าวขึ้นก่อน.

บทว่า ปญฺปนา (การบัญญัติ) คือการบัญญัติด้วยการชี้แจงบทที่ท่านย่อไว้ก่อนโดยพิสดาร ด้วยความพอใจของความคิดและด้วยความเฉียบแหลมของปัญญาแห่งธรรมเหล่านั้น ด้วยอำนาจแห่งวิปัญจิตัญญูบุคคล.

บทว่า ปฏฺปนา (การแต่งตั้ง) คือการบัญญัติด้วยการทำให้พิสดารยิ่งขึ้น ด้วยการชี้แจงเฉพาะนิเทศที่ท่านชี้แจงธรรมเหล่านั้นไว้แล้ว (ด้วยอำนาจแสดงสรุปนิเทศที่แสดงแก่วิปัญจิตัญญูบุคคลเหล่านั้นนั่นแหละ).

บทว่า วิวรณา (การเปิดเผย) คือการเปิดเผยบทแม้ที่ท่านชี้แจงไว้แล้วด้วยการพูดบ่อยๆ.

บทว่า วิภชนา (การจำแนก) คือการจำแนกด้วยการทำการ จำแนกแม้บทที่ท่านกล่าวไว้แล้วบ่อยๆ.

บทว่า อุตฺตานีกมฺมํ (การทำให้ง่าย) คือทำให้ง่ายด้วยกล่าวทำบทที่ท่านเปิดเผยแล้วโดยพิสดาร และด้วยกล่าวชี้แจงบทที่ท่านจำแนกไว้แล้ว เทศนานี้ย่อมมีเพื่อการแทงตลอดแม้ของไนยบุคคล (เนยยบุคคล) ทั้งหลาย.


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 446

บทว่า เย วา ปนญฺเปิ เกจิ (หรือพวกใดพวกหนึ่ง) ท่านหมายถึงวินิปาติกะ (พวกตกอยู่ในอบาย) มีมารดาของท่านปิยังกระเป็นต้น.

บทว่า วิญฺาตาโร (ผู้รู้แจ้ง) คือผู้รู้แจ้งโลกุตรธรรมด้วยการแทงตลอด จริงอยู่ ท่านผู้รู้แจ้งเหล่านี้มีภิกษุเป็นต้น ชื่อว่า ปฏิคฺคหา (ผู้รับ) ผู้รับเพราะรับพระธรรมเทศนาด้วยสามารถการแทงตลอด.

บทว่า อยเมว (นี้แล) เป็นอาทิ มีความดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วในนิเทศแห่งปฐมฌาน.

อริยมรรค ท่านกล่าวว่า เป็นพรหมจรรย์ เพราะประพฤติเพื่อประโยชน์แก่ธรรมอันประเสริฐ เพราะไหลไปโดยนิพพาน (เพราะกำหนดโดยนิพพาน).

บัดนี้ พระสารีบุตรแสดงประกอบอินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และองค์แห่งมรรค อันมีอยู่ในขณะแห่งมรรคนั้นในวิธีแห่งพรหมจรรย์อันผ่องใสควรดื่ม ด้วยบทมีอาทิว่า อธิโมกฺขมณฺโฑ (ความผ่องใสแห่งการน้อมใจเชื่อ).

ในบทเหล่านั้น บทว่า อธิโมกฺขมณฺโฑ (ความผ่องใสแห่งการน้อมใจเชื่อ) คือความผ่องใสอันได้แก่ การน้อมใจเชื่อ.

บทว่า กสโฏ (เป็นกาก) คือขุ่นปราศจากความเลื่อมใส.

บทว่า ฉฑฺเฑตฺวา (ทิ้งแล้ว) คือละด้วยสามารถตัดขาด.

บทว่า สทฺธินฺทฺริยสฺส อธิโมกฺขมณฺฑํ ปิวตีติ มณฺฑเปยฺยํ (ดื่มความผ่องใสแห่งความน้อมใจเชื่อของสัทธินทรีย์) เพราะเหตุนั้น สัทธินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม อธิบายว่า แม้เมื่อความที่ความผ่องใสแห่งความน้อมใจเชื่อไม่เป็นอื่นจากสัทธินทรีย์ ท่านก็กล่าวทำเป็นอย่างอื่นด้วยสามารถแห่งโวหาร ลูกหินบด (ในโลก) แม้เมื่อตัวลูกหินบดไม่เป็นอย่างอื่นมีอยู่ ท่านก็เรียกว่า สรีระ (ตัว) แห่งลูกหินบด ฉันใด อนึ่ง ในบาลีท่านกล่าวภาวะแม้ไม่เป็นอย่างอื่นจากธรรมดา ในบทมีอาทิว่า ผุสิตตฺตํ ความเป็นสิ่งสัมผัสได้ (ความถูกต้อง) ดุจเป็นอย่างอื่น ฉันใด อนึ่ง ในอรรถกถาท่านกล่าวถึงลักษณะแม้ไม่เป็นอย่างอื่นจากธรรมดา ในบทมีอาทิว่า ผุสนลกฺขโณ ผสฺโส


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 447

(ผัสสะมีการถูกต้อง เป็นลักษณะ) ดุจเป็นอย่างอื่น ฉันใด พึงทราบข้ออุปมานี้ ฉันนั้น.

ก็ในบทว่า ปิวติ (ดื่ม) นี้ท่านกล่าวถึงบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยสัทธินทรีย์เป็นต้น มีคำอธิบายว่า บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยสัทธินทรีย์เป็นต้นนั้น ย่อมดื่มความผ่องใสนั้น ความผ่องใสนั้นจึงชื่อว่า เป็นพรหมจรรย์อันผ่องใสควรดื่ม เพราะบุคคลนั้นพึงดื่ม อนึ่ง เมื่อควรกล่าว่า มัณฑเปยโย ท่านทำเป็นลิงค์วิปลาสว่า มัณฑเปยยัง พึงทราบเนื้อความแห่งบทแม้ที่เหลือโดยนัยนี้.

อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในบทที่ยังไม่เคยกล่าวดังต่อไปนี้.

บทว่า ปริฬาโห (ความเร่าร้อน) คือความเดือดร้อนเพราะกิเลสอันเป็นปฏิปักษ์ต่อปีติซึ่งมีลักษณะอิ่มเอิบ (มีลักษณะพอใจ).

บทว่า ทุฏฺฐุลฺลํ (ความชั่วหยาบ) คือความหยาบ ความไม่สงบด้วยอำนาจกิเลสอันเป็นปฏิปักษ์ต่อความสงบ.

บทว่า อปฺปฏิสงฺขา (ความไม่พิจารณา) คือการนำความไม่สงบมา ด้วยอำนาจกิเลสอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการพิจารณา หาทาง).

พระสารีบุตรเถระมีประสงค์จะชี้แจงถึงวิธีแห่งพรหมจรรย์อันมีความผ่องใสควรดื่ม โดยปริยายอื่น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อตฺถิ มณฺโฑ (ความผ่องใสมีอยู่).

ในบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ (ในนั้น) คือในสัทธินทรีย์นั้น.

พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า อตฺถรโส (อรรถรส) คือความน้อมไปแห่งสัทธินทรีย์เป็นอรรถ สัทธินทรีย์เป็นธรรม สัทธินทรีย์นั่นแหละ ชื่อว่า วิมุตติ เพราะพ้นจากกิเลสต่างๆ ความถึงพร้อมแห่งอรรถนั้น ชื่อว่า อตฺถรโส (อรรถรส) ความถึงพร้อมแห่งธรรมนั้น ชื่อว่า ธมฺมรโส (ธรรมรส) ความถึงพร้อมแห่งวิมุตตินั้น ชื่อว่า วิมุตฺติรโส (วิมุตติรส).

อีกอย่างหนึ่ง ความยินดีในการได้อรรถ ชื่อว่า อรรถรส ความยินดีในการได้ธรรม ชื่อว่า ธรรมรส ความยินดีในการได้วิมุตติ ชื่อว่า วิมุตติรส.

บทว่า รติ (ความยินดี) คือปีติที่สัมปมปยุตด้วยรสนั้น หรือปีติมีรสนั้นเป็นอารมณ์ พึงทราบอรรถแม้ในบทที่เหลือโดยนัยนี้.

ในปริยายนี้ท่านกล่าวอรรถว่า สิ่งควรดื่มที่ผ่องใส ชื่อว่า มณฺฑเปยฺยํ.


ความคิดเห็น 15    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 448

พระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงพรหมจรรย์อันผ่องใสควรดื่มด้วยอำนาจแห่งอินทรีย์ พละ โพชฌงค์และองค์แห่งมรรคตามลำดับแห่งโพธิปักขิยธรรมมีอินทรีย์เป็นต้นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์อันตั้งอยู่ในที่สุดอีก จึงแสดงองค์แห่งมรรค โพชฌงค์ พละและอินทรีย์ด้วยอำนาจย้อนลำดับ กระทำมรรคให้เป็นธรรมถึงก่อน (มรรคเริ่มต้น) เพราะมรรคเป็นประธาน.

บทมีอาทิว่า อาธิปเตยฺยฏฺเน อินฺทฺริยา มณฺโฑ (อินทรีย์เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ เป็นความผ่องใส) คือเป็นความผ่องใสที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ตามที่ประกอบไว้ พึงทราบบทนั้นโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง.

อนึ่ง ในบทนี้ว่า ตถฏฺเน สจฺจา มณฺโฑ (สัจจะเพราะอรรถว่า ถ่องแท้ เป็นความผ่องใส) พึงทราบว่าท่านกล่าวว่า สัจจญาณเป็นสัจจะ เพราะไม่มีทุกขสมุทัย เป็นความผ่องใส ดุจในมหาหัตถิปทสูตร.

จบอรรถกถามัณฑเปยยกถา

และ

จบอรรถกถามหาวรรค

รวมกถาที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. ญาณกถา ๒. ทิฏฐิกถา ๓. อานาปานกถา ๔. อินทริยกถา ๕. วิโมกขกถา ๖. คติกถา ๗. กรรมกถา ๘. วิปัลลาสกถา ๙. มรรคกถา ๑๐. มัณฑเปยยกถา และอรรถกถา.

นิกาย (มหาวรรค) นี้ จัดว่าเป็นหมวดหมู่อันประเสริฐ เป็นวรมรรคอันประเสริฐที่หนึ่ง ไม่มีวรรคอื่นเสมอ ท่านตั้งไว้แล้ว ฉะนี้แล.