Thai-Hindi 13 August 2022
- ต้องเข้าใจว่า บารมีคืออะไรก่อน นี่เป็นเหตุสำคัญมากที่คนได้ยินพระพุทธศาสนาเขาคิดเองหมด ไม่เห็นความลึกซึ้ง ไม่เข้าใจความจริงในคำที่พระพุทธเจ้าตรัส
- เป็นความที่ไม่ละเอียดในการฟัง ได้ยินคำว่า “พุทธ” หมายความว่าอะไร “พระพุทธเจ้า” หมายความว่าอะไร “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” หมายความว่าอะไร ฟังแล้วยังไม่รู้เลย ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าแล้วบอกว่า “นับถือพระพุทธเจ้า”
- พระองค์จึงตรัสว่า “ธรรมลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้” เราเอาคำนี้ไปทิ้งไว้ที่ไหน ไม่พิจารณาสักคำไม่เห็นความละเอียด ความลึกซึ้งแล้วก็พูดกันไป ควรรู้จักพระพุทธเจ้าขึ้นทีละคำ
- ไม่ฟังธรรมแล้วจะเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เป็นคนละเอียด ฟังทีละคำแล้วจะรู้ว่าเข้าใจคำนั้นหรือยัง
- เพราะฉะนั้น พุทธ คืออะไร (ผู้รู้ความจริง) เพราะฉะนั้นมีคนรู้ความจริงไหม (มี)
- ถ้าไม่ได้ฟังคำจริงจากคนที่รู้ความจริง จะรู้ไหมว่าคนนั้นรู้ความจริง เพราะฉะนั้นแสดงว่าความจริงรู้ยากหรือง่าย
- ก่อนที่จะฟังคำของผู้ที่รู้ความจริง ไม่รู้อะไรเลยที่จริงใช่ไหม ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นคนที่รู้ความจริง ตรัสหรือพูดว่าอะไร
- สิ่งที่มีจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อนคืออะไร สิ่งที่มีจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อนเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งไหม
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เรากำลังจะตั้งต้นตั้งแต่เขาไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้นไม่มีการเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าเป็นใคร เขาต้องมีความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ไปจำคำที่ได้ยินมาแล้วมาตอบ ต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงที่จะเป็นบารมี เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตอบเรื่องที่ได้ฟังแล้ว แต่ก่อนที่จะฟังให้รู้จักว่า พุทธ คืออะไรให้เป็นความมั่นคงจริงๆ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เอาเรื่องมาตอบยาวๆ
- เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดถึงคำที่ได้ฟังแล้ว แล้วไม่พิจารณาโดยความละเอียดที่จะเข้าใจจึงไม่ลึกซึ้ง จึงไม่สามารถจะเข้าใจอะไรได้เลย
- เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นที่จะรู้จักพระพุทธเจ้าเป็นการเริ่มต้นของสัจจบารมี สัจจบารมีคือเกิดมามีทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นว่ามีแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ระหว่างนี้ไม่ต้องคิดอะไรเลย ฟังและดูว่าจริงไหม
- เกิดมาเห็นบ้าง ได้ยินบ้างแต่ไม่รู้ว่า ความจริงคืออะไรเพราะเหตุว่า เวลาเห็นแล้วก็ได้ยินแต่ไม่รู้ว่า เห็นกับได้ยินเป็นอะไร เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่มีไม่รู้ความจริงจึงเริ่มเข้าใจว่า "พุทธ" คือผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีการรู้ความจริงของพระพุทธเจ้าจะไม่มีการรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น พุทธ คือความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย
- ทุกคนได้ยินคำว่า พุทธ แต่พูดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ความจริง แต่ความจริงของอะไร นี่คือเริ่มเป็นผู้ตรง สัจจบารมี
- เพราะฉะนั้นเข้าใจไหมว่า ฟังคำของผู้รู้เพื่ออะไร (เพื่อรู้ความจริง) ดีมาก ไม่เปลี่ยนแปลงใช่ไหม
- ฟังดีๆ นะคะ ไม่หวั่นไหวใช่ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามโลภะ โทสะ ใช่ไหม นั่นคือ อุเบกขาบารมี
ถ้าหวั่นไหวไปด้วยโลภะหรือโทสะ ไม่ใช่อุเบกขา สิ่งที่มี ผิดมี ไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งที่ผิดเป็นอุเบกขา
- มีสิ่งที่ชอบใจในชีวิต มีความสุขสำราญ มีทรัพย์สมบัติ มีทุกอย่าง บนสวรรค์ก็มีทุกอย่างไม่หวั่นไหวไปตามความยินดี นั่นเป็นอุเบกขา
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาจะมีอุเบกขาบารมีไหม เมื่อไม่มีปัญญาจะมีสัจจบารมีไหม ถ้าไม่มีปัญญาจะมีขันติบารมีไหม ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีความเพียรที่จะไตร่ตรองให้เข้าใจจะมีวิริยะบารมีไหม
- เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจถูกว่า สังสารวัฏฏ์ก็หมด ไม่มีค่าเลย มีแล้วก็หมดแล้วไม่รู้ความจริง แล้วสามารถที่จะได้ฟังคำที่กล่าวถึงความจริง เพราะฉะนั้นมีชีวิตอยู่ ไม่หวั่นไหวเพื่อที่จะรู้ความจริง นั่นเป็นอธิษฐานบารมีใช่ไหม
- ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของการเข้าใจถูกต้อง และความอดทน และวิริยะ และความมั่นคง เขาก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้เพราะ อกุศลทั้งหมดไม่สามารถรู้ความจริงได้
- เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่า อกุศลไม่เข้าใจความจริงก็เห็นประโยชน์ของกุศลทุกอย่าง
- ถ้าเข้าใจความจริงก็รู้ว่า วันหนึ่งๆ มีอกุศลมากที่สุดที่จะประมาณได้และมีกุศลน้อยมาก
- ถ้าไม่เข้าใจ เห็นก็เป็นอกุศลแล้ว ได้ยินทั้งหมดทั้งวันเป็นอกุศลทั้งหมด เพราะรู้ความจริงจึงรู้ว่า การฟังธรรมจะทำให้สามารถละคลายอกุศลได้
- ถ้ารู้ว่าทุกคนมีกิเลส มีอกุศลมาก ยากที่จะรู้ความจริงได้ เขาจะมีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อนที่จะช่วยให้คนนั้นได้ทำกุศลและได้เข้าใจธรรมไหม
- คนที่มีความเข้าใจธรรมก็รู้ว่า เป็นผู้ที่มีความเมตตา มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคนได้เพราะเป็นกุศลประเภทหนึ่ง ความเข้าใจอย่างนี้จะทำให้มีทานบารมีและศีลบารมีด้วยเพราะเมื่อมีความหวังดีกับใคร มีความเป็นเพื่อนจะไม่ทำร้ายคนนั้นเลย เป็นศีลบารมี เว้นทุจริตที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน
- ทุกคนสามารถที่จะให้ทุกอย่างที่มีกับคนอื่นได้ไหม นี่เป็นความจริงเพราะยังมีกิเลสแต่สิ่งที่สามารถจะให้ได้เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้องคือ ให้คนอื่นมีความเข้าใจที่ถูกต้องแม้ว่าจะไม่สามารถให้ทุกอย่างที่มีกับคนอื่นได้
- เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ฟังธรรมเข้าใจแล้วจึงมีชีวิตต่างกันเป็นพระภิกษุกับคฤหัสถ์
- ผู้ที่สะสมมามีความสามารถที่จะละชีวิตของคฤหัสถ์เป็นเนกขัมมะบารมีด้วย เนกขัมมะหมายถึงการสามารถสละสิ่งที่มี สิ่งที่ติดข้องเพื่อละคลายกิเลส เพราะฉะนั้นถึงแม้เป็นคฤหัสถ์ ขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจถูกต้อง ขณะนั้นสละกิเลสเป็นเนกขัมมะด้วย
- เพราะฉะนั้นไม่ว่าภิกษุหรือคฤหัสถ์จุดมุ่งหมายคือ เพื่อละกิเลสแต่มีชีวิตที่ต่างกัน
- สงสัยเรื่องบารมีอีกไหม ไม่ว่าจะเป็นอุเบกขาบารมีหรือบารมีอะไร ก็เพราะมีความเข้าใจถูกต้องและเพียรที่จะรู้ความจริง
- ถ้าฟังธรรมเพื่อเหตุทั้งหมดที่ไม่ใช่เพื่อละกิเลส เพื่อเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง จะเป็นบารมีไหม
- คนที่ให้ทานเพราะหวังผลตอบแทนเป็นบารมีไหม
คนที่ให้ทานเพราะไม่มีความเข้าใจว่า เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เป็นบารมีไหม
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาบารมี อย่างอื่นจะเป็นบารมีไหม
นี่เป็นเหตุที่คนที่เกิดในสวรรค์ ในพรหมโลก หรือเกิดที่ไหนก็ตาม ไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ เพราะไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะนั่นเป็นเพียงผลของกุศล
- เพราะฉะนั้นจึงมีคนที่เกิดในสวรรค์ เกิดในนรก เกิดเป็นพรหม เกิดเป็นเทวดาและเกิดในนรก สังสารวัฏฏ์ไม่สิ้นสุด
- เดี๋ยวนี้กำลังเป็นบารมีหรือเปล่า ขณะใดก็ตามที่ฟังเพื่อเข้าใจธรรม เพื่อรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส ขณะนั้นเป็นบารมี
- ถ้าขณะนี้ไม่มีการฟังให้เข้าใจธรรมเพื่อที่จะรู้ความจริงจะเป็นบารมีไหม
- ปัญญารู้จริงตามความเป็นจริงถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่มีใครจะตอบได้นอกจากตัวเองว่า เดี๋ยวนี้เป็นบารมีรึเปล่า
- เป็นไหม เป็นบารมีอะไร (มีวิริยะ มีสัจจะ) แล้วมีทานไหม เข้าใจแล้วจึงมี ถ้าไม่เข้าใจก็มีไม่ได้ใช่ไหม
- มีขันติบารมีไหม อธิษฐานบารมีมีไหม เมตตาบารมีมีไหม มีอุเบกขาบารมีไหม เพราะฉะนั้นบำเพ็ญพระบารมีตลอดไปเพราะแค่นี้ไม่พอ
- ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ละเอียดลึกซึ้ง ยากจะรู้ได้แต่ต้องอาศัยบารมีจึงสามารถที่จะเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ยินดีด้วยอย่างยิ่งในกุศลบารมี ยังมีเวลาที่จะเจริญบารมีกันต่อไป
- นั้นคือปัญญาบารมี และสัจจบารมี และอธิษฐานบารมี และวิริยะบารมี และขันติบารมี ไม่ใช่คุณอาช่ากำลังมีเรื่องยุ่ง มีคุณแม่คุณพ่ออยู่โรงพยาบาล ฯลฯ ทั้งหมดเขาก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ประโยชน์สูงสุดในชีวิตคือ เข้าใจพระธรรมในขณะนั้นก็ได้ แต่ปัญญายังไม่ถึงระดับที่เข้าใจความจริงในขณะนั้นเพราะเริ่มฟังและเริ่มเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่จะไม่ประมาทที่จะไปในหนทางที่ผิดเพราะความมั่นคง อธิษฐานในสัจจะที่เป็นจริง
- เขารู้สึกท้อถอยไหม (เมื่อก่อนมีมาก แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเข้าใจ ความคิดเดิมๆ ไม่มี) เพราะฉะนั้นฟังคำและไตร่ตรอง สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วไม่ว่าจะเป็นความท้อถอยหรือไม่ท้อถอย เป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้นจึงจะเริ่มเข้าใจธรรม
ถ้าไม่มีจิต ไม่เจตสิก ไม่มีรูป อะไรๆ ก็ไม่มี
- เริ่มเข้าใจธรรมที่ไม่ได้อยู่ในตำราแต่ว่า มีจริงๆ เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสแล้ว ผู้คนที่ได้จดจำไว้ก็รู้ว่า ทุกคำของพระองค์กล่าวถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นจริง เช่น ถ้าเป็นความท้อถอยก็จริง เป็นธรรม เริ่มรู้จักธรรมในชีวิตจริงๆ
- ไม่เคยรู้เลยว่า แต่ละอย่างไม่ใช่เรา มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีใครบังคับบัญชา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาได้ เริ่มค่อยๆ รู้จักธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด นอกจากเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือรูป
- จิต เจตสิก อยู่ไหน เดี๋ยวนี้ บางคนหาปัจจุบัน พอได้ยินคำว่าปัจจุบัน แต่ความจริงเดี๋ยวนี้มีสิ่งใดปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วจึงปรากฏ
- แต่ก่อนนี้เป็นเราเห็น และเห็นสิ่งต่างๆ แต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า “สัพเพธัมมา อนัตตา” ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่อนัตตา ทุกอย่างที่มีจริงเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย
มีอะไรสนทนาหรือสงสัยที่จะเข้าใจขึ้นไหม
- เขาเห็นอะไร (จำได้ว่าพระองค์สอนว่า แค่เห็น) รู้หรือยัง ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่เป็นจริงเกิดแล้วดับก็ไม่มีทางที่จะไปรู้จักพระพุทธเจ้าเลย คิดเรื่องพระพุทธรูปครึ่งตัว เต็มตัวไปตามเรื่อง ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ตรัสว่าอย่างไร
- แล้วฟังธรรมทำไม (เพื่อเข้าใจความจริง) เพราะฉะนั้นเห็นคืออะไร ควรรู้ความจริงไหม
- เพราะฉะนั้นควรรู้ความจริงขณะนั้นว่า มีเห็น แต่เห็นเกิดแล้วดับไป มีสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏให้เห็นแล้วดับไปไม่มีอะไรเหลือเลย เขายังคงสนใจที่จะรู้เรื่องราวอย่างอื่นไหม ไม่รู้ความจริงของขณะนั้น
- จำได้ไหมว่า คิดอะไรบ้าง (ถ้าจำได้ก็น้อยมาก) จำว่าอย่างไร (เมื่อวานนี้คิดถึงว่าเป็นวันชาติอินเดีย) แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร
- เพราะฉะนั้น กำลังคิดก็ไม่รู้ว่าคิดไม่ใช่เขา แล้วเมื่อไหร่จะรู้
เพราะฉะนั้นเขารู้ขณะที่มีปัญญาและขณะที่ไม่มีปัญญาใช่ไหม บังคับไม่ให้คิดไม่ได้เพราะคิดเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยแต่ความเห็นถูกสามารถรู้ว่า ไม่ใช่เขาคิดแต่เป็นธรรมที่รู้สิ่งที่กำลังคิด
- เขาจะคิดเรื่องรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเรื่องอะไรต่อไปก็ตาม ขณะนั้นลืมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไม่ให้คิดแต่ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า คิดเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย
- การไม่รู้ความจริงและการคิดถึงรูปร่างเรื่องราวต่างๆ สะสมมานานมาก เพราะฉะนั้นทันทีที่เห็นก็ลืมคำของพระพุทธเจ้าและคิดตามที่สะสมมา
- เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะไม่ลืมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องฟังคำของพระองค์ เข้าใจขึ้นๆ บ่อยๆ จนไม่ลืม
- เริ่มมีเข้าใจในความเป็นอนัตตาของธรรมทุกอย่าง เห็นความลึกซึ้งของธรรมแม้กำลังปรากฏก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงที่เป็นจริงได้ จนกว่าจะเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
- เห็นความลึกซึ้งของธรรมรึยัง กำลังปรากฏก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เลย
- สิ่งที่มีจริงขณะนี้สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ได้ไหม นี่คือบารมี
- ใครทำบารมีได้ไหม ถามว่าจะไปทำบารมีได้ไหม (ไม่ได้) นี่คือ สัจจบารมี อธิษฐานบารมี มั่นคงขึ้นทีละน้อย
- ถ้าไม่เข้าใจความจริงอย่างนี้ เขาก็ไปทำอย่างอื่นหมด ไปคิดเรื่องพระพุทธเจ้าครึ่งตัว เต็มตัว อะไรต่างๆ คิดเรื่องโดยที่ลืม ไม่มั่นคงในการที่จะรู้ว่า ได้ฟังคำว่าขณะนั้นเป็นคิด เมื่อไหร่จะรู้จักคิดก็ทำให้เข้าใจคิดเพิ่มขึ้นแล้วก็จะไปคิดเรื่องอื่นน้อยลง
- มีประโยชน์อะไรเพราะไม่ใช่การละแต่เป็นการติด การติดคือต้องการอยากรู้ การละคือสิ่งนั้นหมดแล้วไม่เหลือเลย ไม่มีประโยชน์เลยเพราะไม่เข้าใจความจริงว่า สิ่งนั้นหมดแล้ว ไม่เหลือแล้วเลย
- เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่ไปส่งเสริมความต้องการว่า ต้องการรู้เพื่อจะได้ละ แต่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจจึงละความไม่รู้ได้
- เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งแม้ฟังแล้วก็ต้องรู้ว่า โลภะอยู่ไหน ต้องการละโลภะไหม กำลังพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แม้แต่ต้องการจะเข้าใจ
- ไม่มีคำว่า ใช่ไหม รู้เอง ใช่ไหม ต้องไม่ลืมความลึกซึ้ง จึงได้มีการศึกษาธรรมโดยเป็นโทษเหมือนจับงูพิษข้างหาง
- ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้ว่า ใครกำลังศึกษาแบบงูพิษ ต้องเป็นคนที่ตรง เห็นความลึกซึ้ง ศึกษาธรรมทุกคำที่ได้ยินจนเข้าใจความละเอียด
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” รวมทั้งการศึกษาธรรมด้วย
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่า เราอยากเข้าใจหมดในพระไตรปิฎกทุกคำ เพียงเข้าใจคำเดียวให้ลึกซึ้งว่าธรรม เดี๋ยวนี้มีไหม
อะไรไม่ใช่ธรรม เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม ตรงไหนเป็นธรรม (เห็น) รู้จักเห็นรึยัง
- เพราะฉะนั้นมีเห็น พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร เห็นไหมไม่ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้าเลย ได้ยินแล้วก็คิดเองหมด
- เพราะฉะนั้นคิดดีๆ ทุกคำ เริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เห็นคืออะไร กำลังเห็น ไม่รู้จักเห็นแต่ไปคิดเรื่องปัจจัยของเห็น
- ต้องตั้งต้นให้มั่นคง ไม่ลืมบารมี ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่บารมี ไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
- อย่าประมาทคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำต้องฟังโดยละเอียดและไตร่ตรอง สำหรับวันนี้เป็นการที่เขาจะได้ไตร่ตรองเพิ่มขึ้นและคราวหน้าจะสนทนากันอีก
- คุณอาช่าเข้าใจบารมีแล้วใช่ไหม ต้องไม่ลืม เข้าใจ ไม่ใช่เพียงได้ยิน และไม่ใช่ไตร่ตรองแต่เข้าใจจริงๆ ทีละคำ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
"ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่บารมี ไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้"
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะเป็นอย่างยิ่งครับ
กราบอนุโมทนาครับ
อนุโมทนาในกุศลจิตของน้องค่ะ