ทรงนำอุปมาอายตนะ 6 ว่าเป็นสัตว์ 6 ชนิด
โดย Guest  9 ต.ค. 2556
หัวข้อหมายเลข 23815

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 503

อรรถกถาฉัปปาณสูตร

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนำอุปมานี้เปรียบเทียบด้วยสิ่งที่จะ พึงเห็นสมกัน หรือด้วยสามารถแสดงให้เห็นความต่างกันแห่งอายตนะ ทั้งหลาย. ในสองอย่างนั้น เมื่อว่าด้วยสิ่งที่เห็นสมกันก่อน กิจแห่งอัปปนา จะไม่มีอีก แผนกหนึ่งต่างหาก ส่วนในบาลีเท่านั้น จึงจัดเป็นอัปปนา. แต่เมื่อว่า โดยการแสดงให้เห็นความต่างกันแห่งอายตนะ จึงเป็นอัปปนา ดังนี้ ธรรมดาว่างูนี้ ไม่ชอบอยู่ในที่เย็นและที่เตียน ในภายนอก. แต่ ในเวลาขาเข้าไปสู่ที่กองหยากเยื่อ ที่รกรุงรังไปด้วยหญ้าและใบไม้ และ จอมปลวกเป็นต้น เท่านั้นแล้วนอน จึงยินดี ถึงความเป็นสัตว์มีอารมณ์ เป็นหนึ่งฉันใด แม้จักษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีอารมณ์ไม่เสมอกัน ย่อมไม่ ยินดีที่ราบเรียบ มีฝาเรือนที่ทำด้วยทองคำเป็นต้น ไม่ปรารถนาจะดู แต่ชอบในสิ่งที่วิจิตรด้วยรูป และวิจิตรด้วยดอกไม้ และเครือเถาเป็นต้น เท่านั้น เพราะว่าเมื่อตาไม่พอ (ไม่อยากดู) ในที่เช่นนั้น [๑] ก็ยังอยาก เปิดหน้าดู.

แม้จระเข้ ออกไปข้างนอก มองไม่เห็นพึงตนจะจับกินได้ ย่อม หลับตาคลานไป. แต่เวลาใดลงไปในน้ำชั่ว ๑๐๐ วา เข้าไปสู่โพลงแล้วนอน ในเวลานั้น จิตของมันก็มีอารมณ์เป็นหนึ่ง หลับสบายฉันใด แม้โสต ประสาทนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีช่องเป็นที่อาศัย อาศัยอากาศกระทำความ ชอบใจเฉพาะในช่องหูเท่านั้น การอยู่ในช่องหูนั่นแล ย่อมเป็นปัจจัยใน การฟังเสียงของโสตประสาทนั้น แม้อากาศที่โปร่งก็ควรเหมือนกัน. ก็เมื่อ บุคคลทำการท่องบ่นภายในถ้ำ เสียงจะไม่ทะลุ๑ผนังถ้ำออกมาข้างนอกได้เลย แต่จะออกมาตามช่องของประตูและหน้าต่าง ธาตุกระทบต่อๆ กันมา (คลื่นอากาศ) กระทบโสตประสาท จึงในเวลานั้น คนที่นั่งในหลังถ้ำ ก็รู้ได้ว่า เขาท่องบ่นสูตรชื่อโน้น.

ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น อารมณ์ที่ประจวบเข้าย่อมมี นี้หรือคือ อารมณ์ที่ประจวบเข้า

ตอบว่า ใช่แล้ว เป็นอารมณ์ที่มาประจวบ.

ถามว่า ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเขาตีกลองเป็นต้นในที่ไกล การ จะรู้ว่า เสียงที่อยู่ในที่ไกล ไม่พึงมีหรือ

ตอบว่า ไม่พึงมีหามิได้ เพราะเมื่ออารมณ์มากระทบโสตประสาท อาการที่จะรู้ว่า เสียงอยู่ในที่ไกล เสียงอยู่ในที่ใกล้ อยู่ที่ฝั่งโน้น หรือ อยู่ที่ฝั่งนี้ ย่อมมี ข้อนั้นเป็นธรรมดา

ถามว่า ธรรมดานี้จะมีประโยชน์อะไร

ตอบว่า (มีคือ) การได้ยินจะมีในที่มีช่องหู เหมือนการเห็น พระจันทร์ และพระอาทิตย์เป็นต้นฉะนั้น เพราะฉะนั้น โสตประสาทนั้น จะไม่มีอารมณ์ที่มาประจวบเลย [๒] (ถ้าไม่มีช่องหู)

แม้ปักษีก็ย่อมไม่ยินดี ที่ต้นไม้ หรือที่พื้นดิน ก็เมื่อใดมันบินไป สู่อากาศที่โล่ง เลยไป ๑ หรือ ๒ ชั่วเลฑฑุบาต (ชั่วก้อนดินตก) เมื่อนั้นมันก็ถึงความสงบนิ่ง ฉันใด แม้ฆานประสาท ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีอากาศเป็นที่อาศัย มีกลิ่นที่อาศัยลม * เป็นอารมณ์ จริงอย่างนั้น ใด ทั้งหลาย เมื่อฝนตกหมู่ๆ จะสูดดมแผ่นดินแล้วแหงนหน้าสู่อากาศสูดดม. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อมันยังไม่สูดดม ในเวลาเอาเท้าตะกุยดินที่มีกลิ่น จะไม่ รู้กลิ่นของก้อนดินนั้นเลย.

ฝ่ายลูกสุนัข เที่ยวไปภายนอก ไม่เห็นที่ปลอดภัย ถูกขว้างด้วย ก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น. แต่เมื่อมันเข้าไปภายในบ้านแล้วคุ้ยเถ้าที่เตา ไฟนอก จะมีความสบายฉันใด แม้ลิ้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีอาหารที่ได้ มาจากบ้านเป็นที่อาศัย [๒] มีรสอันอาศัยอาโปธาตุเป็นอารมณ์. จริงอย่างนั้น ภิกษุแม้บำเพ็ญสมณธรรม ตลอด ๓ ยามแห่งราตรี ถือเอาบาตรและจีวร เข้าไปสู่บ้าน เธอไม่อาจรู้รสแม้แห่งของเคี้ยวที่แห้งที่ไม่ชุ่มด้วยน้ำลายได้. แม้สุนัขจิ้งจอก เที่ยวไปข้างนอก ก็ไม่ประสบความชอบใจ แต่ เมื่อมันเก่ากินเนื้อมนุษย์แล้วนอนนั่นแหละ จึงจะมีความสบาย ฉันใด แม้กายก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีอุปาทินนกสังขารเป็นที่อาศัย มีโผฏฐัพพะ อาศัยปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ จริงอย่างนั้น สัตว์ทั้งหลาย เมื่อไม่ได้อุปาทินนกสังขารอื่น จะนอนเอาฝ่ามือหมุนศีรษะของตนเอง และปฐวีธาตุ ทั้งที่เป็นภายในและภายนอก ย่อมเป็นปัจจัยของกายนั้น ในการยึดเอาอารมณ์ จริงอยู่ ผู้ไม่ได้นั่ง หรือไม่ได้นอน [๑] ไม่สามารถจะรู้ภาวะที่แข็ง หรือหนาแห่งที่นอน ที่เขาลาดไว้ดีแล้วหรือแผ่นกระดานแม้ที่วางอยู่ภายใต้ ได้ เพราะฉะนั้น ปฐวีธาตุ ทั้งที่เป็นภายในและภายนอก จึงเป็นปัจจัย แห่งกายนั้น ในการรู้โผฏฐัพพะได้

แม้ลิง เมื่อเที่ยวไปบนภาคพื้น ก็ย่อมไม่รื่นรมย์ใจ แต่เมื่อมันขึ้น ต้นไม้สูง ประมาณ ๗ ศอก แล้วนั่งอยู่ที่ค่าคบ มองดูทิศน้อยใหญ่ จะมี ความสบายฉันใด แม้ใจก็ฉันนั้นเหมือนกัน ชอบสิ่งต่างๆ มีภวังคจิต เป็นปัจจัย ย่อมกระทำความชอบใจในอารมณ์นานาชนิด แม้ที่เคยเห็นแล้ว แต่ภวังคเดิมย่อมเป็นปัจจัยของใจนั้น เป็นอันว่าในเรื่องนี้ มีความสังเขป เพียงเท่านี้ แต่เมื่อว่าโดยพิสดาร ความต่างกันแห่งอายตนะทั้งหลายได้ กล่าวไว้แล้วในอายตนนิเทส ในคัมภีร์วิมุทธิมรรคนั้นแล้ว

บทว่า ต จกฺขุ นาวิญฺฉติ ความว่า ในสูตรนี้ท่านกล่าวเฉพาะ ปุพพภาควิปัสสนาว่า จักษุ จะไม่ฉุด (เขา) มา เพราะสัตว์ ๖ ตัว กล่าวคือ อายตนะ ผู้กำหนัดด้วยอำนาจตัณหา ที่ถูกผูกไว้ที่หลัก คือ กายคตาสติ [๒] ถึงภาวะหมดพยศแล้ว.

จบ อรรถกถาฉัปปาณสูตรที่ ๑๐

[๑] ปาฐะว่า เลณจฺฉทน ฉิทฺทิตฺวา ฉบับพม่าเป็น น เลณจฺฉทน ภินฺฑิตฺวา แปลตามฉบับพม่า



ความคิดเห็น 1    โดย ธนัตถ์กานต์  วันที่ 9 ต.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 1 ธ.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น