มัจฉริยสูตร
โดย บ้านธัมมะ  29 เม.ย. 2566
หัวข้อหมายเลข 45844

ข้อความใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค มัจฉริยสูตรที่ ๒ แสดงให้เห็นว่า กุศลนั้นเกิดยาก ไม่ใช่แต่เพียงสติที่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นที่เกิดยาก แม้แต่ทาน การสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นนั้นก็ยังยาก ดังนี้

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว พวกเทวดา สตุลลปกายิกามากด้วยกัน มีวรรณะงาม ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

เทวดาผู้หนึ่ง ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

เพราะความตระหนี่ และความประมาทอย่างนี้ บุคคลจึงให้ทานไม่ได้ บุคคลผู้หวังบุญ รู้แจ้งอยู่ พึงให้ทานได้

ใน สารัตถปกาสินี อรรถกถา อธิบายว่า

ข้อว่า เพราะความตระหนี่ และเพราะความประมาท คือ เพราะความตระหนี่ อันมีความหวงสมบัติของตนเป็นลักษณะ และเพราะความประมาทมีการอยู่ปราศจากสติเป็นลักษณะ

สติเป็นคุณธรรม กระทำให้กุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง ในสมถภาวนา และในการเจริญสติปัฏฐานบ้าง เพราะฉะนั้น การที่สติไม่ระลึกเป็นไปในทาน จึงทำให้ไม่มีการให้ทาน

ข้อความต่อไปในสารัตถปกาสินีมีว่า

ก็คนบางคนไม่ให้ทานด้วยความตระหนี่ว่า เมื่อเราให้ สมบัตินี้ก็จะถึงความสิ้นไป จักไม่มีแก่เรา หรือแก่เหล่าชนในบ้าน

คิดอย่างนี้หรือเปล่า เป็นของธรรมดาเหลือเกิน ยิ่งชีวิตของฆราวาสไม่สามารถที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างไปได้หมด แต่ว่ามีการให้เพียงบางโอกาส เพียงบางกาละเท่านั้น เพราะเหตุว่าสำหรับท่านที่สะสมอุปนิสัยในทาน การให้ ท่านก็สะดวก ท่านก็ประพฤติสม่ำเสมอในการให้ ท่านสละวัตถุเพียงเล็กน้อยเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น ผู้อื่นก็ยังจะได้มีโอกาสที่จะได้รับความสุขแม้เพียงเล็กน้อยจากวัตถุเล็กน้อยที่ท่านสละ

ขอให้ท่านสังเกตดูบุคคลในโลกนี้ ต่างสะสมอุปนิสัยปัจจัยมาต่างๆ กัน บางท่านเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยสะดวกในการให้ทาน ประพฤติได้เป็นปกติเป็นประจำ แต่สำหรับบางท่าน แสนยาก ถึงมีก็ไม่ให้ ถึงมีมากทีเดียวก็ยังให้ไม่ได้ เคยสังเกตไหมว่า มีท่านที่เป็นอย่างนี้

"มัจฉริยะ" เป็นอกุศลธรรม เป็นความตระหนี่ เก็บสะสมพอกพูนความตระหนี่ซึ่งเป็นอกุศลธรรมไว้ เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ให้เพราะความตระหนี่ย่อมคิดว่า เมื่อเราให้สมบัตินี้ก็จะถึงความสิ้นไป จักไม่มีแก่เรา หรือแก่เหล่าชนในบ้าน

สำหรับความประมาทนั้น ใน สารัตถปกาสินี อธิบายว่า

คนบางคน แม้ความคิดว่าพึงให้ทาน ก็ไม่ให้เกิดขึ้น เพราะมัวเพลินในการเล่นเป็นต้น

เพลินมาก ขณะที่ไม่ได้ระลึกเป็นไปในกุศล ไม่ได้เป็นไปในทาน ไม่ได้เป็นไปในศีล ไม่ได้เป็นไปในภาวนา

และเพลินอย่างไรในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ

มีใครบ้างไหมที่ไม่เพลินไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มัวเพลินในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่าพึงให้ทาน หรือว่าจะให้ทาน ก็กำลังเพลินอยู่ตลอดเวลา คิดไป เพลิดเพลินไปอีก คิดถึงเรื่องทางตา ก็เพลิดเพลินไปในเรื่องของทางตา คิดไปในเรื่องของทางหู ก็เพลิดเพลินไปในเรื่องของทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีแม้ความคิดที่จะเกิดขึ้นว่า จะให้ทาน

ส่วนข้อความที่ว่า ทานเป็นสิ่งที่ผู้รู้พึงให้ มีคำอธิบายว่า คือ เมื่อรู้อยู่ว่า ทานมีผล ก็พึงให้ทานโดยแท้

ข้อความต่อไปในพระสูตรมีว่า

ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

คนตระหนี่กลัวภัยใด ย่อมให้ทานไม่ได้ ภัยนั้นนั่นแล ย่อมมีแก่คนตระหนี่ ผู้ไม่ให้ทาน

คนตระหนี่ย่อมกลัวความหิวและความกระหายใด ความหิวและความกระหายนั้น ย่อมถูกต้องคนตระหนี่นั้นนั่นแล ผู้เป็นพาลทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ฉะนั้น

เรื่องของจิต มีทั้งจิตที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดวิบาก คือ จิตที่เป็นผล เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นจิตที่ดีงามก็ย่อมให้ผล คือ วิบากจิตที่ดี ถ้าเป็นจิตที่ไม่ดี เป็นอกุศลจิต ก็ย่อมทำให้เกิดอกุศลวิบากจิต เป็นผลที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีจิตใจตระหนี่ ไม่ยอมที่จะสละให้คนอื่นได้รับประโยชน์สุขจากวัตถุที่ตนมี ผลคือ ความหิวและความกระหายนั้น ก็ย่อมถูกต้องผู้ที่ตระหนี่ ผู้ที่ไม่ให้ทานนั่นเอง

ถ้าจิตเป็นกุศลก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากเกิดขึ้น รับผลของกุศลกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลจิต เป็นผลของอกุศลกรรม อกุศลวิบากก็เกิดขึ้นรับผลทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายเหมือนกัน

ทุกท่านคงจะสังเกตว่า ท่านรับผลของกรรมทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง บางทีตัวท่านเองไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่มีเรื่องที่จะต้องทำให้ท่านลำบาก โดยที่ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเลย ความลำบาก ความไม่แช่มชื่น การรับผลของอกุศลกรรม จะเป็นทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้ จมูกก็ได้ ลิ้นก็ได้ กายก็ได้ จะมากหรือจะน้อยนั้นก็ย่อมแล้วแต่เหตุ แต่ถ้าท่านเป็นคนที่ตระหนี่มาก ผลก็คือว่า ความหิวและความกระหายนั้น ย่อมถูกต้องคนตระหนี่นั้นนั่นแล

สำหรับข้อที่ว่า

ผู้เป็นพาลทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ฉะนั้น

ที่ว่าเป็นพาลนั้น ก็เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่สะสมความตระหนี่ สะสมอกุศลธรรม สะสมความติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในวัตถุ ในโภคทรัพย์ ถ้าในปัจจุบันชาติท่านสะสมอกุศลธรรม สะสมความตระหนี่ไว้มาก ชาติหน้าจะตระหนี่น้อยลงได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น การสละ การละ ก็ยากขึ้นด้วย

เทวดาผู้นั้นกล่าวต่อไปว่า

บุคคลควรกำจัดความตระหนี่อันเป็นสนิมในใจ ให้ทานเถิด เพราะบุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า

คงจะมีท่านผู้ฟังที่มีญาติมิตรสหายที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก และสิ้นชีวิตลงโดยไม่ได้ใช้ทรัพย์สมบัตินั้น เมื่อไม่ได้ให้ทรัพย์สมบัติ เมื่อไม่ได้ให้ทานในโลกนี้ ในโลกหน้าก็เอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้ แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่ขัดเกลาจิตใจ ละความตระหนี่ ท่านก็ได้สะสมบุญ คือ การขัดเกลาจิตใจให้เบาบางจากอกุศลธรรม ติดตามไปในโลกหน้าได้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 199

ข้อความต่อไปในพระสูตรมีว่า

ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

ชนทั้งหลายเหล่าใด เมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ เหมือนพวกเดินทางไกลก็แบ่งของให้แก่พวกเดินทางร่วมกัน ชนทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อบุคคลทั้งหลายเหล่าอื่นตายแล้ว ก็ชื่อว่า ย่อมไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของบัณฑิตแต่ปางก่อน ชนพวกหนึ่งเมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ ชนพวกหนึ่งมีของมากก็ไม่ให้ ทักษิณาที่ให้แต่ของน้อย นับเสมอด้วยพัน

ใน สารัตถปกาสินี อรรถกถา มีข้อความอธิบายว่า

ข้อว่า ชนทั้งหลายเหล่าใด เมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ เหมือนพวกเดินทางไกลก็แบ่งของให้แก่พวกเดินทางร่วมกัน

ความว่า คนที่เดินทางร่วมกัน เดินทางไปสู่ทางอันไกลกันดาร คือ สังสาระอันกันดารร่วมกัน เมื่อไทยธรรมแม้มีน้อย ก็ทำการแบ่งปันให้

ยังไม่สิ้นสุดการเดินทาง เกิดมาร่วมโลกกันเหมือนกับผู้ที่เดินทางไกลร่วมกัน เพราะฉะนั้น ในโลก หรือในทางกันดารที่ลำบากนี้ ถ้ามีทางใดที่จะเกื้อกูลอุปการะกันได้ แม้มีของน้อยก็ควรที่จะแบ่งให้ เพื่ออุปการะเกื้อกูลสงเคราะห์กันให้ผ่านพ้นความทุกข์ ให้ถึงที่สุดของวัฏฏะสงสารได้ สังสารวัฏฏ์นั้นก็ยืดยาวมาก เพราะฉะนั้น ไม่ทราบว่าจะเดินทางกันไปอีกไกลสักเท่าไร ถ้าไม่เกื้อกูลอุปการะกัน ก็ไม่สามารถที่จะช่วยกันและกัน ผลัดกันให้ ผลัดกันรับ ไปจนกว่าจะถึงที่สุดของสังสารวัฏฏ์ได้

ข้อความใน อรรถกถา อธิบายต่อไปว่า

ข้อว่า ชนทั้งหลายเหล่านั้น คือ ชนที่มีของน้อยก็แบ่งให้ เมื่อบุคคลทั้งหลายเหล่าอื่นตายแล้ว ก็ชื่อว่า ย่อมไม่ตาย

ซึ่งข้อความในอรรถกถามีคำอธิบาย ซึ่งท่านผู้ฟังไม่ได้คิดหรือคิดไม่ถึงว่า ท่านจะอธิบายในลักษณะนี้ คำอธิบายมีว่า

เหมือนอย่างว่า คนตายแล้ว เมื่อข้าวและน้ำ เป็นต้น มากมายที่พวกญาตินำมาตั้งแวดล้อมไว้ คนตายนั้นก็จะลุกขึ้นมาทำการจำแนกไม่ได้ว่า อันนี้จงเป็นของผู้นี้ อันนี้จงเป็นของผู้นี้ ฉันใด คนผู้มีปกติไม่ให้ ก็ฉันนั้น

เพราะฉะนั้น โภคทรัพย์ของคนตายก็ดี ของคนผู้มักไม่ให้ก็ดี ชื่อว่า เป็นของ เสมอกัน ด้วยเหตุนั้น ผู้มีปกติให้จึงชื่อว่า ไม่ตาย ในเมื่อบุคคลเหล่าอื่นเห็นปานนั้น ตายกันแล้ว

ถ้าท่านมีทรัพย์มาก แต่ไม่ได้แจก ไม่ได้แบ่งให้ใคร ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว ญาติพี่น้องจะเอาทรัพย์สมบัติข้าวของไปแวดล้อมวางไว้ใกล้ชิดสักเท่าไร ก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาจำแนกแจกให้ว่า ของนี้จงเป็นของท่านผู้นี้ ของนี้จงเป็นของท่านผู้นี้ได้

เพราะฉะนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีโภคสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ แต่ไม่ได้แจก จำแนกให้กับใครเลย ก็ย่อมเหมือนคนตายที่ไม่สามารถแจก จำแนกทรัพย์สมบัติที่มีผู้เอามาวางแวดล้อมไว้ให้ได้

ข้อความต่อไปอธิบายว่า

ข้อว่า ธรรมนี้เป็นของบัณฑิตแต่ปางก่อน

มีคำอธิบายว่า ชนพวกหนึ่งเมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ ชนพวกหนึ่งมีของมากก็ไม่ให้ ทักษิณาที่ให้แต่ของน้อย นับเสมอด้วยพัน

คงจะซาบซึ้งถึงการสละในขณะที่ท่านมีน้อยได้ว่า ท่านต้องคิดมาก การที่จะบริจาคให้ไปแต่ละครั้งๆ ถ้าท่านมีทรัพย์สมบัติน้อย ของที่จะให้มีน้อย ท่านต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะให้เท่าไร จะให้หรือจะไม่ให้ จะให้กับใคร หรือว่าจะให้มากหรือให้น้อยอย่างไร แต่ยังสามารถที่จะให้ได้ ไม่เหมือนผู้ที่มีมากแต่ก็ไม่ให้ เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่แม้ของมีน้อยก็ให้ได้ ทักษิณาที่ให้แต่ของน้อยนั้น จึงมีค่านับเสมอด้วยพัน เพราะเหตุว่าเป็นของที่มีค่าจริงๆ สำหรับผู้ที่มีน้อย แต่ก็ยังสามารถที่จะสละการติด การยึดถือในทรัพย์สมบัตินั้นอย่างเหนียวแน่นได้ โดยการบริจาคให้ไป

สำหรับของมีน้อยนั้น ในอรรถกถาได้อธิบายว่า หมายความรวมถึงของนิดๆ หน่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุเล็กน้อยสักเท่าไร จะเป็นผัก จะเป็นของกระจุกกระจิกอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ตาม ชื่อว่าเป็นของมีน้อยทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น การให้นี้ควรจะทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นของเล็กน้อย ก็อย่าคิดว่าไม่ควรจะให้ ถ้าให้แล้วจะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ก็ควรจะให้

ข้อความต่อไปในพระสูตรมีว่า

ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

ทาน พวกพาลชน เมื่อให้ ให้ได้ยาก กุศลธรรม พวกพาลชนเมื่อทำ ทำได้ยาก พวกอสัตบุรุษ ย่อมไม่ทำตามธรรมของสัตบุรุษ อันพวกอสัตบุรุษดำเนินตามได้แสนยาก เพราะฉะนั้น การไปจากโลกนี้ของพวกสัตบุรุษและของพวกอสัตบุรุษจึงต่างกัน พวกอสัตบุรุษย่อมไปสู่นรก พวกสัตบุรุษย่อมเป็นผู้ดำเนินไปสู่สวรรค์

นี่เป็นทางที่ต่างกันตามเหตุ ถ้าในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นผู้ที่สะสม อกุศลธรรม ธรรมของสัตบุรุษแสนยาก แม้แต่การให้ก็ให้ยาก กุศลธรรมอื่นของสัตบุรุษที่สัตบุรุษอื่นทำได้ง่าย ผู้ที่เป็นอสัตบุรุษก็ทำได้ยาก เพราะฉะนั้น เมื่อชีวิตในโลกนี้ ดำเนินไปอย่างนี้ หนทางข้างหน้าซึ่งจะไปสู่ก็ต้องเป็นแนวเดียวกัน ถ้าเจริญอกุศลธรรม ก็ย่อมทำให้เกิดอกุศลวิบาก ถ้าเจริญอบรมกุศลธรรมมาก ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบาก

เพราะฉะนั้น หนทางของสัตบุรุษและอสัตบุรุษเมื่อไปจากโลกนี้จึงต่างกัน ไม่ ควรจะลืมว่า ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แล้ววันไหนก็ไม่ทราบด้วย แต่โดยมากทุกท่านหลงชีวิต แล้วก็ลืมเสียจริงๆ ว่า จะต้องสิ้นชีวิต ไม่ได้คิดถึงเลยว่า จะต้องจากโลกนี้ไป เดี๋ยวก็หลงไปตามรูปชั่วครู่หนึ่ง เดี๋ยวก็หลงไปตามเสียง ยังไม่ทันไรก็หลงไปตามกลิ่น หลงไปตามรส หลงไปตามโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ลืมความจริงข้อนี้ คือไม่ลืมความจริงว่า จะต้องตาย และไม่ลืมความจริงว่า หลงชีวิตเสียเหลือเกิน ทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านเจริญกุศลทุกประการ แม้ในทานด้วย ไม่ใช่ว่าท่านมุ่งที่จะเจริญวิปัสสนาโดยที่สะสมอกุศลไว้มาก ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้หลงลืมสติ

ซึ่งข้อความต่อไปมีว่า

ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีกได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คำของใครหนอแลเป็นสุภาษิต

เทวดาก็ช่างสงสัย ในเมื่อสิ่งที่พูดนั้นเป็นสุภาษิต เป็นคำพูดที่ถูกต้อง แต่แม้กระนั้นก็ยังสงสัย กราบทูลถามว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คำของใครหนอแลเป็นสุภาษิต

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

คำของพวกท่านทั้งหมดเป็นสุภาษิตโดยปริยาย ก็แต่พวกท่านจงฟังซึ่งคำของเราบ้าง

บุคคลแม้ใดย่อมประพฤติธรรม ประพฤติสะอาด เป็นผู้เลี้ยงภริยา และเมื่อของมีน้อยก็ให้ได้ เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปนะ การบูชาของบุคคลเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น

บุคคลอย่างนั้น คือ บุคคลที่ย่อมประพฤติธรรม มุ่งประโยชน์ที่การประพฤติธรรม ไม่ใช่ติดในสิ่งที่จะได้ซึ่งเป็นผลของทาน แต่ว่าจิตใจนั้นเต็มไปด้วยบาป เต็มไปด้วยอกุศล เต็มไปด้วยการเบียดเบียน แต่เพราะต้องการผลจึงบริจาคมากมาย เพื่อหวังจะได้

แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ทานนั้นของบุคคลผู้เบียดเบียน หรือว่าประพฤติไม่เป็นธรรมนั้น ไม่ถึงส่วนร้อยของผู้ที่ประพฤติธรรมและเมื่อของมีน้อยก็ให้ได้

พระผู้มีพระภาคทรงอุปมาเปรียบเทียบว่า เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปนะ การบูชาของบุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น เพราะเหตุว่าจิตใจบริสุทธิ์ต่างกัน ระหว่างผู้ที่ให้เพราะต้องการผลเท่านั้นแต่ไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติธรรม แต่ผู้ที่ประพฤติธรรมแม้มีของน้อยก็ให้ได้ ไม่ได้มุ่งหวังผล จึงเป็นผู้ที่ประพฤติธรรมด้วย

ข้อความต่อไปในพระสูตรนี้มีว่า

ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

การบูชาอันไพบูลย์ใหญ่โตนี้ ย่อมไม่เข้าถึงส่วนแห่งทานที่บุคคลให้ด้วยการประพฤติธรรม เพราะเหตุอะไร เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปนะ การบูชาของบุรุษเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุรุษอย่างนั้น (คือ ของบุรุษที่ประพฤติธรรม)

ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับเทวดานั้น ด้วยพระคาถาว่า

บุคคลเหล่าหนึ่งตั้งอยู่ในกรรม ปราศจากความสงบ (คือ ปราศจากธรรม) โบยเขา ฆ่าเขา ทำให้เขาเศร้าโศก แล้วให้ทาน ทานนั้นจัดว่า ทานมีหน้านองด้วยน้ำตา จัดว่าทานเป็นไปกับด้วยอาชญา จึงย่อมไม่เข้าถึงส่วนแห่งทานที่ให้ด้วยความสงบ คือด้วยการประพฤติธรรม

เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปนะ การบูชาของบุรุษเหล่านั้นย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น โดยนัยอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความประพฤติในทางธรรม เป็นผู้สงบ มีประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะเหตุว่าไม่ได้เบียดเบียนให้ผู้นั้นเดือดร้อน และสิ่งที่ให้ก็เป็นประโยชน์ แม้น้อย

ใน สารัตถปกาสินี อรรถกถา อธิบายว่า

ข้อที่ว่า มหาทานของบุคคลเหล่านั้น คือ บุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปนะ การบูชาของบุรุษเหล่านั้นย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของทานที่บุคคลให้ด้วยความประพฤติธรรม ก็เพราะว่าความบังเกิดขึ้นของทานนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุว่าเบียดเบียนบุคคลอื่น สัตว์อื่นให้เดือดร้อน ส่วนทานอื่นนอกนี้ชื่อว่า มีผลมาก ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความบังเกิดขึ้นแห่งตนบริสุทธิ์อย่างนี้แล จึงตรัสคำเป็นต้นว่า เอวํ มุ่งที่เกิดของทานเป็นที่ตั้ง

ทานของผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์จึงจะมีผลมาก แต่ถ้าจิตใจไม่บริสุทธิ์แล้วให้ทาน ผลก็ต้องน้อยลง ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 200

รับฟัง ...

... มัจฉริยสูตร