ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๗

~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะเข้าใจในความมั่นคงอย่างลึกซึ้ง พระองค์ตรัสทุกคำเพื่อให้คนอื่นได้ไตร่ตรองได้เข้าใจความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง จนมั่นคงแน่ใจว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นธรรมทั้งหมดซึ่งเป็นแต่ละหนึ่งธรรมที่ละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่ว่าจะศึกษาคำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่สามารถเข้าถึงความเป็นสิ่งที่ละเอียดเพียงหนึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง
~ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ฟังวันนี้ เข้าใจเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องก็จะสะสมอยู่ในจิต เหมือนสาวกโพธิสัตว์ทุกท่าน สะสมปัญญาเรื่อยๆ แต่ละชาติจนถึงชาติที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมที่จะเกิดโดยไม่ใช่ความเป็นเรา ไม่ใช่ไปนั่งทำอะไรด้วยความหวัง
~ ทุกคนเหมือนกันหมด คือ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
พอเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง จึงสามารถจะรู้ความต่างของกุศลและอกุศลได้ ถ้าปัญญาสามารถเข้าใจถูกต้องจริงๆ ว่าเป็นอกุศล ปัญญาจะสะสมไหม (ปัญญาไม่สะสมอกุศล) และถ้าปัญญาคือความเข้าใจถูกจริงๆ ในธรรมที่เป็นกุศล ประโยชน์มหาศาล จะสะสมกุศลไหม (สะสมกุศล)
~ ทำกรรมแทนกันไม่ได้ ปรารถนาจะให้ผู้ที่สิ้นชีวิตไปสู่สุคติ แต่ก็ย่อมแล้วแต่คติ หรือกรรมของเขามีอย่างไร เขาก็ย่อมไปสู่คติของตนอย่างนั้น
*** ~ บางท่านเศร้าโศกเหลือเกินเวลาที่ผู้ที่เป็นที่รักหรือว่าญาติมิตรสหายของท่านสิ้นชีวิตลง ลืมคิดว่าได้ประโยชน์อะไรกับการเศร้าโศกนั้น ผ่ายผอม รับประทานไม่ได้ นอนไม่หลับ นอกจากตัวท่านเองจะเป็นทุกข์แล้ว คนที่ใกล้ชิดก็พลอยเป็นทุกข์ไปกับท่านด้วย บางท่านก็สงสารเหลือเกินว่าคนนี้เศร้าโศกยิ่งนัก มีวิธีอะไรที่จะผ่อนเบาความเศร้าโศกของบุคคลนั้นได้ เศร้าโศกมากๆ ก็จะไม่สบาย หรือว่าจะต้องสิ้นชีวิตลงไปอีกคนหนึ่ง ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปอีกหลายคน***
~ ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าท่านพิจารณาละเอียดขึ้น ท่านจะไม่เกิดอกุศลจิตมาก เพราะเหตุว่าการร้องไห้ก็ดี การเศร้าโศกก็ดี เป็นอกุศลจิต กำลังเศร้าโศก กำลังร้องไห้ จิตใจไม่ผ่องใส อะไรทำให้จิตไม่ผ่องใส ก็เพราะยังมีกิเลสอยู่ จึงทำให้มีความโศกเศร้า มีการร้องไห้ มีความเสียดายเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมดที่ได้ทรงแสดงไว้ ทรงแสดงไว้ตามความเป็นจริง เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาและเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิต ไม่ใช่เกิดอกุศลจิต ทั้งๆ ที่ท่านทราบว่าการร้องไห้ การเศร้าโศก ไม่มีประโยชน์เลย เป็นอกุศลจิต แต่ยับยั้งได้ไหม? ไม่ได้ มาถึงความจริงอีกข้อหนึ่ง คือ ความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งหลายที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นถึงการเจริญกุศลเท่าที่สามารถจะมีปัจจัยทำให้เกิดและเจริญได้ แต่สภาพธรรมทั้งหลายก็เป็นอนัตตา ถึงแม้ว่าจะทรงแสดงเรื่องของกุศลทุกขั้น แต่ปัจจัยของอกุศลจิตมีมากเหลือเกิน ทำให้อกุศลจิตเกิดมาก ความตระหนี่ก็ยังมี และอกุศลอื่นๆ ก็ยังมีเชื้อมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงช่วยให้เกิดปัจจัยที่จะเจริญกุศลทุกขั้น
~ การที่จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ สุข ได้โภคสมบัติ ทรัพย์สมบัตินั้น เป็นผลที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้ว การที่จะเสื่อมจากลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โภคสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ก็ต้องเป็นผลที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้วเช่นกัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เมื่อมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ผลก็ย่อมมี ทั้งได้ลาภ ทั้งเสื่อมลาภ ทั้งได้ยศ ทั้งเสื่อมยศ ทั้งได้สรรเสริญ ทั้งได้นินทา ทั้งได้สุข ได้ทุกข์
~ ถ้าไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย แม้นั่งบริโภคอาหารร่วมกับภิกษุอื่น ก็ด้วยอาการเหมือนขโมย เพราะอาหารที่เขาให้ ให้สำหรับผู้ขัดเกลากิเลส ให้ผู้ประพฤติปติบัติตามพระธรรมวินัยศึกษาธรรมธรรมเข้าใจ แต่ตนเองไม่มีลักษณะ อย่างนั้น ไม่มีคุณพอที่จะรับอาหารอย่างนั้นก็เหมือนกับขโมยอาหารขณะที่บริโภค
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับเงินรับทองหรือเปล่าแล้วพระองค์ทรงมีพระชนม์ ได้อย่างไร พระภิกษุซึ่งบวชตามพระธรรมวินัย รับเงินรับทองหรือเปล่า ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระอัสสชิ ท่านพระปุณณมันตานีบุตร พระภิกษุทั้งหลายในครั้งพุทธกาล รับเงินรับทองหรือเปล่า แล้วท่านอยู่ได้อย่างไร? อยู่ด้วยคุณความดี
~ คฤหัสถ์ในครั้งโน้นซึ่งเป็นผู้เห็นพฤติกรรมของพระภิกษุที่รับเงินทอง ก็เพ่งโทษให้พระภิกษุนั้นเข้าใจให้ถูกต้องว่านี่เป็นโทษอย่างยิ่ง เพราะสละแล้ว ใช่ไหม จะรับอีกได้อย่างไร เมื่อเพ่งโทษแล้วก็ติเตียนด้วยว่ากระทำอย่างนี้ไม่เหมาะ ไม่สมควรแก่เพศบรรพชิต แล้วก็โพนทะนา คือ ประกาศให้รู้ทั่วกันว่าการกระทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง นี่คือ คฤหัสถ์ที่ดำรงรักษาคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการที่กล่าวสิ่งที่ถูกต้องแล้วชี้แจงโทษในเมื่อเป็นสิ่งที่ผิด
~ จะสุขสักเท่าไหร่ จะทุกข์สักเท่าไหร่ จะตื่นเต้นสักเท่าไหร่ จะมีความสำคัญอะไรในชาตินี้ หน้าที่การงานอะไรสักเท่าไหร่ ก็เพียงแค่ชาตินี้
~ เวลาที่สิ้นชีวิตไปแล้ว นอกจากจะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ไปไม่ได้ ก็ยังเอาบุคคลทั้งหลายอันเป็นที่รักในโลกนี้ติดตามไปไม่ได้ และยังเอาความทรงจำทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้ไปด้วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่ความจำก็ไม่เหลือ เป็นบุคคลใหม่ทันที เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่ ก็เป็นบุคคลใหม่ เป็นเรื่องใหม่ ไม่เกี่ยวข้องผูกพันกับเหตุการณ์เก่าๆ ในโลกเก่า
~ ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญเมตตายิ่งขึ้น อกุศลอื่นๆ จะลดน้อยลงด้วย ความมานะความสำคัญตน ย่อมจะเบาบางลงไป เพราะเห็นว่าในขณะใดที่มีความสำคัญตนถือตน ในขณะนั้นไม่ได้เมตตาบุคคลนั้นเลย ถ้าเมตตาแล้วต้องไม่มีความสำคัญตน ต้องเป็นอาการที่สนิทสนมและเป็นไมตรีจริงๆ
~ ถ้าเห็นคนที่กำลังโกรธจริงๆ เห็นอาการประทุษร้ายจิตใจที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เห็นโทษทันทีเวลาที่เห็นความโกรธของบุคคลอื่น และตัวเองเมื่อเห็นโทษอย่างนั้น ยังอยากจะโกรธเหมือนอย่างนั้นหรือ ในเมื่อกำลังเห็นอาการของความโกรธ เพราะฉะนั้น เมตตาเกิดได้ในขณะนั้น ซึ่งควรเจริญ จนกว่าจะเป็นพื้นของจิตใจที่สามารถจะให้อภัยได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการที่ไม่เหมาะสมทางกาย หรือทางวาจาก็ตาม
~ เมตตาเป็นสิ่งที่ควรอบรมเจริญ เพราะเป็นกุศลที่จะขัดเกลาละคลายโทสะให้เบาบางได้ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญการอบรมเจริญเมตตาแม้เพียงชั่วขณะเล็กน้อย ให้เห็นประโยชน์ว่ากุศลทั้งหมดอย่าประมาท กุศลแม้เพียงชั่วขณะเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้ก็เป็นประโยชน์
~ สำหรับประโยชน์ของปฏิสันถาร (การต้อนรับ) จะมีไม่ได้เลยถ้าปราศจากเมตตา เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นการปฏิสันถารด้วยใจจริง ในขณะนั้นท่านทราบได้ว่าเป็นจิตที่ประกอบด้วยเมตตา แต่ถ้าในชีวิตประจำวันท่านยังขาดการปฏิสันถาร ก็ควรที่จะอบรมเจริญและให้มีเมตตาที่สามารถจะสงเคราะห์เกื้อกูลบุคคลอื่นด้วยปฏิสันถารทั้งกายและวาจาด้วย
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๖


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นถึงการเจริญกุศลเท่าที่สามารถจะมีปัจจัยทำให้เกิดและเจริญได้ แต่สภาพธรรมทั้งหลายก็เป็นอนัตตา ถึงแม้ว่าจะทรงแสดงเรื่องของกุศลทุกขั้น แต่ปัจจัยของอกุศลจิตมีมากเหลือเกิน ทำให้อกุศลจิตเกิดมาก ความตระหนี่ก็ยังมี และอกุศลอื่นๆ ก็ยังมีเชื้อมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงช่วยให้เกิดปัจจัยที่จะเจริญกุศลทุกขั้น
ยินดีในกุศลวิริยะของอ.คำปั่นค่ะ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ