ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๕๓
โดย khampan.a  26 ส.ค. 2555
หัวข้อหมายเลข 21618

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓]

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรม ก็เพื่อที่จะให้บุคคลอื่นมีโอกาสได้เข้าใจธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ตั้งแต่หลังจากทรงตรัสรู้จนกระทั่งถึงใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นระยะเวลาถึง ๔๕ พรรษา ไม่มีใครที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลผู้อื่นได้เท่ากับพระองค์เลย

บุคคลผู้ที่ฟังพระธรรม ย่อมจะเห็นในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณที่ทำให้เรามีโอกาสได้ยินได้ฟังคำที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส อันเป็นวาจาสัจจะ เพื่อให้ผู้อื่นได้ฟังและเข้าใจ นำไปสู่ปัญญาความเข้าใจถูกต้องจนกระทั่งสามารถเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงแสดง

เวลาที่ฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกี่ยวกับธรรม ประโยชน์คือเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงนั้นเป็นโอกาสที่หายาก

จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจความจริง เนื่องจากมีความจริง แต่เมื่อยังไม่เคยฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ธรรมนั้นคืออะไร คิดไม่ออก จึงต้องเริ่มที่การฟังในขณะนี้

๐ ไม่มีสมบัติอะไรในโลกที่คนนำติดตัวไปได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ก็ตามที่มีอยู่ตั้ง แต่บรรพบุรุษซึ่งได้ชื่อว่าครอบครองในสิ่งเหล่านั้น แต่ก็จากไปหมด ไม่มีใครเป็นเจ้าของในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างแท้จริง

พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นพระสูตรใด ส่วนใด ไม่ใช่สำหรับสวดหรือสำหรับท่อง แต่สำหรับศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามที่พระองค์ทรงแสดง

ได้รับผลของอกุศลกรรมมาก แต่ก็ยังเป็นกุศลได้ จิตใจดี ไม่หวั่นไหว เข้าใจถูก ไม่โทษใคร เพราะกรรมของตนเองเป็นเหตุจะทำให้ได้รับอกุศลวิบาก คือผลของอกุศลกรรม นี้คือประโยชน์ของการฟังและเข้าใจพระธรรม

ถ้ามีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เวลาที่กรรมให้ผล ก็สามารถรู้ได้ว่าไม่มีใครทำให้เลย ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรที่จะทำให้เลย นอกจากกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้วเท่านั้น

๐ ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็จะไม่กระทำอกุศลกรรม

เพราะยังมีอกุศลกรรม จึงทำให้เกิดเดือดร้อนไม่จบ ตั้งแต่เกิด เกิดมาก็ต้องรักษาโรคตั้งแต่เด็กแล้ว รักษากันทุกวัย จนกระทั่งถึงชรา รักษาไม่มีวันจบสิ้น แต่ถ้ารู้จักโรคใจคือกิเลสด้วย พอที่จะทำให้โรคใจนั้นบรรเทาเบาบางลงได้ จนกระทั่งในที่สุดก็หมดโรคใจ ไม่ต้องเกิดมีกายที่จะรักษาอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย มีแต่ธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถที่จะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เมื่อได้ฟังแล้วก็ค่อยๆ รู้ขึ้นเข้าใจขึ้นจนกระทั่งถึงการดับกิเลสได้ นี้เป็นพระคุณอย่างยิ่งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลก

ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีอะไรจะละคลายกิเลสได้เลย กิเลสไม่ได้อยู่ในหนังสือ กิเลสอยู่ที่การสะสมมา ตราบใดที่ยังไม่ได้ละ ก็มีปัจจัยที่จะให้เกิด ไม่ใช่ว่ามีใครคิดจะชนะอกุศลในวันนี้ก็ชนะได้ แต่ต้องอาศัยการฟัง การพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ แล้วจึงค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาไปตามลำดับขั้น ในชีวิตประจำวัน อยากจะไม่รู้ต่อไป หรือจะค่อยๆ รู้ขึ้น?

๐ พระธรรม ฟังครั้งเดียวไม่ได้

เข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อยได้ ถ้ายังไม่ขาดการฟังพระธรรม ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคลได้ เมื่อได้เข้าใจความเป็นจริงของธรรมเพิ่มขึ้น

สะสมความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมมากยิ่งขึ้น ด้วยการฟังพระธรรม

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นของชั่วคราว เกิดแล้วก็ดับไป

เห็น เป็นธรรมดา ได้ยิน เป็นธรรมดา โกรธ เป็นธรรมดา ฯลฯ เพราะธรรมดา คือ ความเป็นธรรม ความเป็นจริงของธรรม ซึ่งใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่จะต้องรู้ ด้วยว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เพียงพูดว่าเป็นธรรมดาๆ เท่านั้น

อยู่ที่ไหนๆ ก็มีภัย ถ้ามีอกุศลเกิดขึ้นเป็นไป

๐ มีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีความดี ก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพ

ชีวิตประจำวัน เก็บขยะ (สะสมอกุศล) หรือเริ่มทิ้งขยะ (สะสมกุศล ขัดเกลากิเลส) บ้างแล้ว?

ต้องรู้จักเป็นผู้เสียสละ บารมีทั้งหมดล้วนเป็นการคิดถึงคนอื่น เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น

เมื่อไม่เกิด ก็ไม่มีทุกข์

๐ มีหรือที่ปัญญาจะเลือกทำชั่ว?

๐ เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๕๒ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๒

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย Jans  วันที่ 26 ส.ค. 2555

"มีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีความดี ก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพ"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่นด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย Ookaew  วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ

- เราไม่ชอบอกุศลจิตของผู้อื่น เราไม่พอใจ เมื่อผู้อื่นตระหนี่หรือกล่าววาจาหยาบคายฯ แต่เรารู้บ้างไหมว่าเรามีอกุศลจิตขณะไหนบ้าง ขณะที่เราไม่พอใจ วาจาหยาบคายของผู้อื่น ขณะนั้น เราเองกำลังมีอกุศลจิตซึ่งประกอบด้วยโทสะ แทนที่จะสนใจในอกุศลจิตของผู้อื่น เราควรระลึกรู้อกุศลจิตของเราเอง

- ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ซึ่งอธิบายสภาพธรรมไว้อย่างละเอียดอาจจะไม่รู้ว่าอะไรเป็น อกุศล ... อาจจะเข้าใจ (ผิด) ว่าอกุศลเป็นกุศล ฉะนั้น จึงสะสมอกุศลโดยไม่รู้ตัว

- อกุศลกรรม ย่อมให้ผลเป็นทุกข์ ไม่มีใครปรารถนาผลที่เป็นทุกข์ แต่คนส่วนมากก็ไม่รู้เรื่อง อกุศลกรรม อันเป็นเหตุให้เกิด "ผล" ที่เป็นทุกข์ เพราะไม่รู้ว่าจิตขณะไหนเป็นอกุศลและขณะที่ทำอกุศลกรรมก็ย่อมไม่รู้อีกเหมือนกัน.

- เรารู้สึกว่ายากที่ยอมรับสภาพชีวิตตามความเป็นจริง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราทน ไม่ได้ที่จะคิดว่าร่างกายของเราหรือร่างกายของคนที่เรารักนั้นเป็นดัง "ซากศพ" เรายอมรับเรื่องการเกิด แต่ไม่ค่อยอยากจะยอมรับหลังการเกิด ซึ่งได้แก่ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย เราไม่อยากรู้เห็นสภาพที่ไม่เที่ยงของสังขารธรรมทั้งหลาย เวลาส่องกระจกและตบแต่งร่างกาย เราก็อยากให้ร่างกาย "เป็นตัวตนที่ยั่งยืนและเป็นของเรา แต่ร่างกายก็เป็นเพียง รูปธาตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทันที ไม่มีสักอณูเดียวของร่างกายที่ยั่งยืน.

- เราอดพูดดิรัจฉานกถาไม่ได้ แต่เราควรรู้ว่าการพูดของเรานั้น แม้ดูเหมือนไม่มีโทษภัยแต่ก็พูดด้วยโลภมูลจิตหรือพูดด้วยโทสมูลจิตบ่อยๆ

- เราจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นหรือวิจารณ์คนอื่นน้อยลง เมื่อเราเข้าใจว่า ทั้งตัวเราเองและคนอื่นนั้นเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและไม่เที่ยง ขณะที่กำลังพูดถึงเรื่องการกระทำของคนอื่น ขณะนั้น สภาพธรรมเหล่านั้นดับไปหมดแล้ว

- เราไม่เป็นอิสระเลย ถ้าความสุขของเราขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดกับเรา และจากการกระทำของคนอื่น คนอื่นอาจจะดีกับเราขณะหนึ่งแต่อีกขณะหนึ่งอาจจะไม่ดีก็ได้ ถ้าเรา ยึดถือในความชอบพอ รักใคร่ ที่คนอื่นมีต่อเราอย่างมากมายเหลือเกินแล้ว จิตก็จะหม่นหมองได้ง่ายและตกเป็นทาสของอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ เราจะเป็นอิสระขึ้นได้ถ้า เข้าใจความจริงว่าทั้งตัวเราเองและคนอื่นเป็นเพียง นามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

- เราปรารถนาที่จะอยู่ในโลกที่สมัครสมานกลมเกลียวกันระหว่างชาติต่างๆ และเป็นทุกข์ เมื่อเดือดร้อน เมื่อมีการประทุษร้าย เบียดเบียนกัน เราควรพิจารณาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้ง สาเหตุที่แท้จริงคือกิเลสที่สะสมอยู่ในจิตของแต่ละคน

- ขณะที่โกรธ เราคิดว่าคนอื่นและสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจนั้นทำให้เราโกรธ แต่โทสะ ที่ได้สะสมไว้เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ความโกรธเกิดขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่า ความเข้าใจลักษณะของโทสะและการระลึกรู้ลักษณะของโทสะขณะที่โทสะเกิดขึ้น เป็นเหตุที่ทำให้โทสะลดน้อยลง.

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ความคิดเห็น 4    โดย pat_jesty  วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย kinder  วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 7    โดย เมตตา  วันที่ 26 ส.ค. 2555

- จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจความจริง เนื่องจากมีความจริงแต่เมื่อยังไม่เคยฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ธรรม นั้นคืออะไร คิดไม่ออก จึงต้องเริ่มที่การฟังในขณะนี้

- ถ้ามีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เวลาที่กรรมให้ผล ก็สามารถรู้ได้ว่าไม่มีใครทำให้เลย ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ที่จะทำให้เลย นอกจากกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้วเท่านั้น

- ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็จะไม่กระทำอกุศลกรรม

- เราจะพูดถึง เรื่องของคนอื่นหรือ วิจารณ์คนอื่นน้อยลง เมื่อเราเข้าใจว่าทั้งตัวเราเองและ คนอื่นนั้นเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะ เหตุปัจจัย และไม่เที่ยง ขณะที่กำลังพูดถึงเรื่องการกระทำของคนอื่นขณะนั้น สภาพธรรมเหล่านั้นดับไปหมดแล้ว.

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. คำปั่น และ อ. ผเดิม ค่ะ...


ความคิดเห็น 8    โดย พร้อมเสมอ  วันที่ 27 ส.ค. 2555
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์ คำปั่น ค่ะ

ความคิดเห็น 9    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 27 ส.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย Noparat  วันที่ 27 ส.ค. 2555

- เวลาที่ฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกี่ยวกับธรรม ประโยชน์คือเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง พระธรรม ฟังครั้งเดียวไม่ได้

- ชีวิตประจำวัน เก็บขยะ (สะสมอกุศล) หรือเริ่มทิ้งขยะ (สะสมกุศล ขัดเกลากิเลส) บ้างแล้ว

- เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี

- ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ซึ่งอธิบาย สภาพธรรม ไว้อย่างละเอียดอาจจะไม่รู้ว่า อะไร เป็นอกุศล อาจจะเข้าใจ (ผิด) ว่า อกุศลเป็นกุศล ฉะนั้น จึงสะสมอกุศลโดยไม่รู้ตัว

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย daris  วันที่ 28 ส.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 12    โดย pornchai.s  วันที่ 28 ส.ค. 2555

- เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี

- ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ซึ่งอธิบาย สภาพธรรม ไว้อย่างละเอียดอาจจะไม่รู้ว่า อะไรเป็นอกุศล อาจจะเข้าใจ (ผิด) ว่าอกุศลเป็นกุศล ฉะนั้น จึงสะสมอกุศลโดยไม่รู้ตัว

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 13    โดย หลานตาจอน  วันที่ 29 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย jaturong  วันที่ 29 ส.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย natural  วันที่ 29 ส.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย orawan.c  วันที่ 3 ก.ย. 2555

ชีวิตประจำวัน เก็บขยะ (สะสมอกุศล) หรือเริ่มทิ้งขยะ (สะสมกุศล ขัดเกลากิเลส) บ้างแล้ว

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย aurasa  วันที่ 4 ก.ย. 2555

ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็จะไม่กระทำอกุศลกรรม

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 18    โดย boonpoj  วันที่ 8 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 19    โดย chatchai.k  วันที่ 5 ธ.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ความคิดเห็น 20    โดย มังกรทอง  วันที่ 15 ต.ค. 2564

จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจความจริง เนื่องจากมีความจริง แต่เมื่อยังไม่เคยฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ธรรมนั้นคืออะไร คิดไม่ออก จึงต้องเริ่มที่การฟังในขณะนี้ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ