ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๙
โดย khampan.a  27 ก.พ. 2565
หัวข้อหมายเลข 42295

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๙

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแล้วๆ เล่าๆ ถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าผู้นั้นจะเกิดปัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงสิ้นเชิง เพื่อเขาจะเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดโปร่งจากการหลงผิด เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้ายังมีเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์แล้วไม่รู้ ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่อไป
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นประโยชน์โดยตลอด ทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่มีแม้บทเดียว ที่จะไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นความจริงจากการทรงตรัสรู้ของพระองค์ เป็นเรื่องของการขัดเกลาทั้งนั้น จึงจะเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ
~ ถ้าเข้าใจผิด ไม่รู้ความจริง ไม่มีทางที่จะละคลายกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้กระทำชั่ว ได้เลย, ความชั่ว ทุจริตทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะลดน้อยลงไปได้หรือดับหมดไปได้ ถ้าไม่ได้เข้าใจความจริงว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโลก ปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะยากไร้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้ามีปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้น ไม่เดือดร้อน แต่ถึงแม้ว่าจะมั่งมีมากมาย มีชื่อเสียง มีคำสรรเสริญ มีคำยกย่อง มีลาภยศ แต่ถ้าขณะนั้น ไม่เข้าใจ จิตใจก็เป็นทุกข์ได้
~ ด้วยความไม่รู้ ก็ทำให้คิดไปต่างๆ นานา แม้แต่จะปราบโลภะ จะพยายามทำให้โลภะไม่เกิด แต่ด้วยความไม่รู้อะไรเลย ขณะนั้นก็ด้วยโลภะนั่นเองที่มีความต้องการอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เห็นตัวโลภะ ด้วยปัญญาจริงๆ ไม่สามารถจะละได้ และ การละอกุศลต้องตามลำดับขั้น ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงในขณะที่เห็น ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏแล้วจะไปละโลภะได้อย่างไร ไม่มีทางเลย เรียกว่า “ข้าม” พยายามไปทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งละเอียด คัมภีระ (ลึกซึ้ง)
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงถึงที่สุด แต่ไม่ใช่เรา ปัญญา ก็มี สติ ก็มี ก็ไม่ใช่เรา อกุศล ก็มี ก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ความรู้นั่นแหละที่จะเห็นโทษของอกุศลและเห็นประโยชน์ของกุศล ซึ่งปัญญาประเสริฐสุดในบรรดาสังขารธรรม (ธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง) ทั้งหลาย
~ ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีแต่ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปทำเลย ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะถึงการรู้แจ้งสภาพธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางให้ประจักษ์แจ้งได้
~ เพราะเห็นประโยชน์ จึงฟังพระธรรม กิเลส เดือดร้อนไหม? อยู่ไม่ได้ ต้องไป เพราะว่ามีกุศลธรรมเกิดขึ้น
~ ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไตร่ตรองทุกคำ จึงจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้และความยึดมั่นว่าเป็นเราและกิเลสทั้งหลายที่เกิดจากความไม่รู้และความยึดถือในสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ความเข้าใจทีละเล็กทีน้อย แต่มีค่ามหาศาล เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีขณะนี้ที่เริ่มเข้าใจ จะไม่มีความเข้าใจต่อไปอีกได้เลย
~ เกิดมาแล้วกี่ชาติในสังสารวัฏฏ์ไม่รู้ความจริง ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ความเข้าใจระดับต่างๆ เกิดจากอะไร? ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ยินได้ฟังเลย ใครจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้
~ ในฐานะที่ทุกคนก็เกิดมาร่วมโลก แล้วก็มีความไม่รู้ แล้วก็มีพระธรรม ซึ่งผู้ใดที่ได้ศึกษาแล้วเข้าใจแล้ว ก็ควรที่จะอนุเคราะห์คนอื่นด้วยความเมตตาจริงๆ ที่จะให้ไม่หันหลังให้พระสัทธรรม
~ ผิด ก็ต้องผิด ผิดจะเป็นถูกไม่ได้ ถูกก็ต้องถูก เพราะฉะนั้น อยู่ที่ว่า เข้าใจไหมว่าอะไรผิด ถ้าผิดแล้วจะแก้ไขไหม นี่คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดของการที่ว่า ก่อนจะจากโลกนี้ไป ควรจะทำอะไร ถ้าจะเป็นประโยชน์จริงๆ ทั้งกับตนเองและคนอื่น ก็คือว่า รู้จริงว่าสิ่งใดผิด ต้องทิ้งไป แล้วสิ่งใดถูก ก็ต้องช่วยกันดำรงรักษาไว้ เพราะฉะนั้น จะเอาสิ่งที่ผิดมารวมกับสิ่งที่ถูก ไม่ได้
~ ถ้าไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีใครจะเข้าใจพระพุทธศาสนาบ้าง? ก็เพียงแต่เรียกว่าพระพุทธศาสนา แล้วก็ยังกล่าวคำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตรงหรือเปล่า? มั่นคงหรือเปล่า? เข้าใจหรือเปล่า?
~ ใครกำลังจะตายบ้าง? ลองคิด ทุกคนหรือเปล่า? ตายเดี๋ยวนี้ก็ได้จริงไหม? เพราะฉะนั้น ทุกคนก็กำลังจะตาย จนกว่าจะถึงขณะซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แม้ความตายก็ต้องเป็นในขณะนั้นที่มีปัจจัยถึงพร้อมที่จะพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้อีกต่อไปไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์
~ สิ่งที่ควรระลึกถึงบ่อยๆ คือ ความตาย ก่อนตายควรที่จะเป็นอย่างไร? นี้คือสิ่งที่สำคัญ เตรียมตัวที่จะเป็นคนใหม่หรือยัง จะเป็นคนใหม่ในชาติใหม่ก็มาจากคนนี้แหละ
~ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสที่จะทำความดีทุกอย่างทุกประการที่สามารถจะกระทำได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรทำ เพราะเหตุว่า ถ้าขณะนั้นไม่ใช่จิตที่ดี ก็เป็นอกุศลจิต, แม้เพียงเป็นกุศลจิต นิดเดียว ต่อไปจะเห็นค่าของหนึ่งขณะที่เป็นกุศล หรือแม้แต่การฟังธรรมแล้วเข้าใจแต่ละคำ แม้คำเดียว ก็มีค่า ที่จะทำให้เข้าใจคำอื่นต่อไปๆ
~ ทรัพย์ในโลกไม่สามารถติดตามใครไปได้เลย จะจากโลกนี้ไปวันไหน มีทรัพย์สมบัติสักเท่าไหร่ แม้แต่ร่างกายที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา ก็ไม่สามารถติดตามไปได้เลย นอกจากคุณความดี ความเข้าใจธรรม หรือ ความชั่ว ความไม่เข้าใจธรรม ก็แล้วแต่ว่าคนนั้นจะสะสมอะไร ในขณะไหน ก็สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นสังสารวัฏฏ์ต่อไป
~ ความจริงแล้ว ผู้ที่จากไป (ตาย) ก็คือ ผู้ที่เกิดก่อนคนอื่นนั่นเอง เพราะว่าเมื่อตายแล้ว ต้องเกิด เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมดาที่ขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้หนึ่งขณะเองที่ทำกิจเคลื่อนพ้นความเป็นบุคคลนี้ เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ คือ จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย
~ อกุศลแม้นิดเดียว มีแล้ว ก็จะเพิ่มขึ้น งอกงามขึ้น (คือ เกิดมากขึ้น) แล้วใครจะรู้ว่าวันไหนชาติไหน จะทำอย่างคนที่เราเห็นว่าเขาได้ทำอกุศลกรรม ซึ่งต้องระวังด้วย ถ้าชาตินี้เราประมาท ชาติหน้าเราทำ (อกุศลกรรม) อย่างนั้นได้แน่นอน เพราะกิเลสทุกวัน เพิ่มทุกวัน
~ การเจริญกุศลทุกประการ เป็นสิ่งที่ควรจะต้องกระทำ เว้นไม่ได้เลย สิ่งใดก็ตามที่เป็นกุศล แล้วยังไม่ได้กระทำ ขอให้พิจารณาว่า ชาตินี้จะกระทำได้ไหม กุศลอย่างนั้นๆ ที่ยังไม่ได้กระทำ แต่ว่าต้องเห็นคุณประโยชน์ของกุศลทุกประการด้วย

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๘


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย Sea  วันที่ 27 ก.พ. 2565

ในฐานะที่ทุกคนก็เกิดมาร่วมโลก แล้วก็มีความไม่รู้ แล้วก็มีพระธรรม ซึ่งผู้ใดที่ได้ศึกษาแล้วเข้าใจแล้ว ก็ควรที่จะอนุเคราะห์คนอื่นด้วยความเมตตาจริงๆ ที่จะให้ไม่หันหลังให้พระสัทธรรม


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 27 ก.พ. 2565

สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโลก ปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะยากไร้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้ามีปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้น ไม่เดือดร้อน แต่ถึงแม้ว่าจะมั่งมีมากมาย มีชื่อเสียง มีคำสรรเสริญ มีคำยกย่อง มีลาภยศ แต่ถ้าขณะนั้น ไม่เข้าใจ จิตใจก็เป็นทุกข์ได้

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 3    โดย Jans  วันที่ 27 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 27 ก.พ. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย panasda  วันที่ 27 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย tim7755tim  วันที่ 28 ก.พ. 2565

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย สุกัลยา  วันที่ 28 ก.พ. 2565

น้อมกราบเท้า อ.สุจินต์ เจ้าค่ะ

อนุโมทนา สาธุธรรมอันประเสริฐค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย สุกัลยา  วันที่ 28 ก.พ. 2565

อนุโมทนา สาธุค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย jaturong  วันที่ 28 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย เมตตา  วันที่ 28 ก.พ. 2565

    ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลจิต ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย มังกรทอง  วันที่ 28 ก.พ. 2565

เห็นโทษเห็นภัยของความไม่รู้ จึงมีการฟังพระธรรม ทำให้เป็นผู้กล้าหาญที่จะรู้ความจริงฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่ธรรมสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม แต่เพราะไม่รู้ จึงศึกษาพระธรรมถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏแล้วปัญญาจะรู้อะไร ปัญญาจะต้องรู้ในสิ่งที่มีจริงแล้วปัญญาจะเจริญได้อย่างไร ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ คือ เริ่มศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ต่อไป

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 28 ก.พ. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย มังกรทอง  วันที่ 1 มี.ค. 2565

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแล้วๆ เล่าๆ ถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าผู้นั้นจะเกิดปัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงสิ้นเชิง เพื่อเขาจะเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดโปร่งจากการหลงผิด เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้ายังมีเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์แล้วไม่รู้ ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่อไป

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 14    โดย chatchai.k  วันที่ 1 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย มังกรทอง  วันที่ 2 มี.ค. 2565

ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ความเข้าใจทีละเล็กทีน้อย แต่มีค่ามหาศาล เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีขณะนี้ที่เริ่มเข้าใจ จะไม่มีความเข้าใจต่อไปอีกได้เลย

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 16    โดย chatchai.k  วันที่ 2 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 17    โดย มังกรทอง  วันที่ 3 มี.ค. 2565

ในฐานะที่ทุกคนก็เกิดมาร่วมโลก แล้วก็มีความไม่รู้ แล้วก็มีพระธรรม ซึ่งผู้ใดที่ได้ศึกษาแล้วเข้าใจแล้ว ก็ควรที่จะอนุเคราะห์คนอื่นด้วยความเมตตาจริงๆ ที่จะให้ไม่หันหลังให้พระสัทธรรม น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 18    โดย มังกรทอง  วันที่ 5 มี.ค. 2565

ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไตร่ตรองทุกคำ จึงจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้และความยึดมั่นว่าเป็นเราและกิเลสทั้งหลายที่เกิดจากความไม่รู้และความยึดถือในสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 19    โดย มังกรทอง  วันที่ 5 มี.ค. 2565

ทรัพย์ในโลกไม่สามารถติดตามใครไปได้เลย จะจากโลกนี้ไปวันไหน มีทรัพย์สมบัติสักเท่าไหร่ แม้แต่ร่างกายที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา ก็ไม่สามารถติดตามไปได้เลย นอกจากคุณความดี ความเข้าใจธรรม หรือ ความชั่ว ความไม่เข้าใจธรรม ก็แล้วแต่ว่าคนนั้นจะสะสมอะไร ในขณะไหน ก็สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นสังสารวัฏฏ์ต่อไป น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 20    โดย เจียมจิต สุขอินทร์  วันที่ 6 มี.ค. 2565

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 21    โดย มังกรทอง  วันที่ 6 มี.ค. 2565

แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ