ธรรมเป็นปกติ คนส่วนใหญ่คิดว่า ธรรมต้องไปทำให้มีขึ้น ให้เกิดขึ้น แต่ว่าตามความเป็นจริงตลอดชีวิต ทุกชีวิตในสังสารวัฏฏ์ เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีขณะไหนที่ไม่ใช่ธรรมเลย เพราะฉะนั้นการรู้จักธรรม ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรให้เกิดเลย เพียงแต่ว่าสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ฟัง แล้วก็รู้ว่า ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นคำจริงทุกคำ แม้แต่ เห็น เกิดขึ้นแล้ว เห็นแล้วด้วย
สภาพธรรมมีหลากหลายที่น่าพอใจก็มี ที่ไม่น่าพอใจก็มี อย่างเวลาที่โกรธเกิดขึ้น ลองคิดกลับกัน เกิดแล้วไม่ให้เป็นโกรธได้ไหม แค่นี้ก็เห็นแล้วใช่ไหม ความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นคำว่า “อนัตตา” ไม่ใช่ต้องไปพยายามนึกแปลเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่สภาพธรรมทุกขณะแสดงความเป็นอนัตตา ไม่ได้อยากให้สภาพธรรมนั้นเกิดเลย แต่ก็เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย และเมื่อเกิดแล้วอย่าได้ไปคิดเปลี่ยนแปลง เพียงแต่คิดว่า เกิดแล้วให้เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่อย่างนี้ที่เกิดแล้วได้ไหม ทุกคนก็ตอบตรงกันว่า ไม่ได้
ก็เข้าถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมจากชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย เป็นธรรมทั้งหมด แต่ว่าถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเมื่อไร ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกต้องในความหมายของคำว่าอนัตตา เพราะเหตุว่าเพียงจำ แต่เวลาเห็น ไม่ได้รู้สึกเลย หรือไม่ได้เข้าใจว่าอนัตตา จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น
สะสมอวิชชามาแค่ไหน รู้ตัวเองเลยใช่ไหม ใครสะสมอวิชชามาน้อยมาก มีไหม มากมายในสังสารวัฏฏ์ จนแม้กำลังฟัง ก็ฟังด้วยดี และเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เหมือนของที่หนัก ต่อ เคลื่อนไม่ได้ มั่นคงด้วยอกุศลทั้งหลาย กว่าจะเคลื่อนไป ค่อยๆ ขยับให้พ้นจากสังสารวัฏฏ์ จะนานสักแค่ไหน คงไม่ต้องคำนึงถึงกาลเวลา เพราะเหตุว่าต้องเป็นไปตามความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 434