ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๔ * * 
~ ผู้ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระภิกษุจะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยแล้วจงใจที่จะล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติ ก็แสดงให้เห็นชัดถึงความไม่ละอายในเพศบรรพชิต
~ ความทุกข์ความเดือดร้อนมากมายมาจากอกุศลซึ่งสะสมเป็นปัจจัยให้กระทำสิ่งที่เป็นทุจริตกรรมเป็นอกุศลกรรมสำเร็จแล้วก็ทำให้เกิดผลคืออกุศลวิบาก
~ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด กุศลธรรมจะเกิด ก็เป็นกุศลธรรม มีเหตุปัจจัย อกุศลธรรมจะเกิดก็เป็นเพราะสะสมมาที่อกุศลนั้นๆ จะเกิด ใครห้ามได้?
~ ขณะใดก็ตามที่อกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นโมหะ ความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม หรือเป็นโลภะ ความติดข้อง หรือเป็นโทสะ ความโกรธขุ่นเคืองใจ หรือเป็นมานะ ความสำคัญตน หรือเป็นมัจฉริยะ ความตระหนี่ ทั้งหมดก็เป็นอกุศล ไม่ละอายจึงเป็นอกุศล
~ แม้ว่าเป็นคฤหัสถ์ แต่รู้ว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งก็ฟังพระธรรมด้วยความเคารพเพื่อเข้าใจ ขณะที่ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ ละอายที่จะไม่รู้ใช่ไหมจึงฟัง? เพราะฉะนั้น ในขณะที่ฟังพระธรรมเข้าใจขึ้นๆ ขณะนั้นที่เป็นกุศล ไม่ใช่ความไม่ละอาย
~ เข้าใจพระธรรมจากการฟังก็จะเป็นการสะสมให้ความเข้าใจนั้นเพิ่มขึ้น เพราะว่าใครก็ไม่สามารถทำให้ปัญญาเกิดขึ้นได้ นอกจากการได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรองจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
~ จากที่มีอกุศลมากๆ ถ้าเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น จะสามารถละอกุศลหมดได้ไหม ในวันหนึ่ง ไม่ทราบในวันไหน ต้องด้วยปัญญา วันนี้มีปัญญาไม่พอที่จะดับโลภะ เพราะฉะนั้น ก็อบรมเจริญปัญญาตามความเป็นจริงว่า โลภะเป็นธรรม (สิ่งที่มีจริง) อย่างหนึ่ง ทุกอย่างเป็นธรรม
~ ถ้าจากโลกนี้ไป จิตที่ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพจากความเป็นบุคคลนี้ที่เราเรียกว่า จิตขณะสุดท้าย ทำจุติกิจ เคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เป็นจิตขณะแรก คือ ปฏิสนธิ ก็มีทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมจากจิตขณะก่อน แล้วแต่ว่าจะมีปัจจัยทำให้สภาพธรรมใดเกิด ก็เกิดได้ เพราะมีการสะสมของสภาพธรรมนั้นๆ อยู่แล้ว
~ มิตร หมายถึง สภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นกุศลจิต ศัตรูก็ไม่ใช่คนหนึ่งคนใด แต่ต้องสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นอกุศล
~ เขาเกิดมาเป็นอย่างนั้น มีกายวาจาอย่างนั้นตามการสะสมอย่างนั้น คิดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ถ้าเป็นฝ่ายที่เป็นอกุศล น่าสงสาร และถ้าเป็นมิตรกับเขา เป็นได้ไหม? ทำไมจะต้องเจาะจงเป็นมิตรกับคนที่ดี บุคคลที่เขาลำบาก อุปมาเหมือนคนไข้หนัก ไม่มีพยาบาล ไม่มีเพื่อนฝูง ไม่มียารักษาโรค แล้วเราสามารถช่วยเขาให้พ้นจากโรค พ้นจากความเจ็บหนัก มีกำลังขึ้นสามารถเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ได้ อย่างนั้นแสดงให้เห็นว่า ขณะนั้น ความเป็นมิตรก็สามารถกว้างขวางขึ้น
~ สิ่งที่เป็นสาระของชาตินี้ทั้งหมดก็คือการเข้าใจพระธรรมซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้วทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติก็ไม่มีสาระ เพราะว่าหมดไปแล้ว แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยสักอย่าง ชาตินี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ชาติต่อๆ ไปก็ต้องเป็นอย่างนี้
~ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เพราะมิฉะนั้นแล้วก็คือสะสมความไม่รู้และอกุศลอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะเห็นอะไรที่น่าเพลิดเพลินหรือไม่น่าพอใจทั้งหมดก็คือสะสมอกุศลอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การสะสมความเข้าใจธรรมแต่ละขณะก็จะทำให้การที่เคยเป็นผู้ที่ติดข้องในเรื่องของความไม่รู้ในเรื่องของอกุศล ลดน้อยลง อย่างอื่นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้อกุศลลดน้อยลงได้เลย นอกจากความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยด้วย แม้แต่เพียงขณะนี้ที่เข้าใจยังไม่มั่นคงพอ ถ้ามั่นคงพอก็จะสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ใช่เพียงแต่พูดว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้เป็นธรรมแต่ว่าสามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏด้วย
~ ความเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ก็จะทำให้สามารถเป็นไปในทางกุศลและก็เข้าใจธรรมยิ่งขึ้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
~ อะไรเกิด ก็คือ ปกติ ก่อนฟังพระธรรมชีวิตก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหมด ฟังพระธรรมแล้ว ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ที่สำคัญคือ มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
~ ๔๕ พรรษาแห่งการประกาศพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม
~ ฟังพระธรรมเพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงในความเป็นจริงของธรรม ซึ่งเมื่อเข้าใจแล้วใครก็เปลี่ยนความเข้าใจถูกให้ผิดไป ก็ไม่ได้ จะเปลี่ยนว่าธรรมไม่ใช่อย่างนี้ ธรรม เที่ยง ธรรมบังคับบัญชาได้ ก็ไม่ได้ เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง และความเข้าใจก็จะมั่นคงขึ้น
~ เห็นคุณของพระธรรม ว่า อนุเคราะห์ให้ชีวิตทั้งชีวิต ซึ่งเกิดมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ได้มีโอกาสได้รู้ความจริงซึ่งยากที่จะรู้ เมื่อรู้แล้วก็เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ได้เบื่อหน่าย ไม่ได้ท้อถอย แต่รู้ว่าชีวิตควรจะดำเนินไปอย่างไร ที่ขาดไม่ได้ คือ การที่จะได้เข้าใจธรรม เท่าที่จะมีโอกาสตามเหตุตามปัจจัย ทำความดีทุกขณะที่สามารถจะกระทำได้ อย่างนั้นก็จะเป็นผู้ที่ได้กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ พร้อมกับการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมด้วย
~ ประมาทเมื่อไหร่ก็เป็นอกุศลเมื่อนั้น
~ เห็นโทษของอกุศล ว่า โทษนั้น ไม่ได้เป็นโทษของคนอื่นทั้งสิ้น แต่เป็นของตัวเองทั้งนั้น แล้วยังจะเพิ่มโทษให้กับตนเองทุกวันหรือ?
~ ตราบใดที่ยังมีกิเลส (ยังมีโอกาส) ต้องเป็นอย่างนี้ (คือ ทำอกุศลกรรม และเกิดในอบายภูมิ) เขาเป็นได้ เราเป็นไม่ได้หรือ ถ้ากิเลสยังมีอยู่และยังมีมากๆ เหมือนเขา? ก็เห็นภัยของอกุศลและเห็นประโยชน์ของการที่จะละอกุศล
~ ประโยชน์สูงสุด คือ ได้เกิดมาเป็นบุคคลนี้แล้ว ได้เข้าใจธรรมและได้ทำดี เพราะเหตุว่า ประมาทไม่ได้เลย ขณะไหนไม่ดี ขณะนั้นเป็นอกุศล
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๓

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนา
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง