จากกระแสข่าวในตอนนี้ที่เกี่ยวข้องระหว่างจิตอาสาท่านหนึ่งกับวัดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เพราะสาเหตุใดที่นำไปสู่เหตุการณ์แบบนี้คะ ไม่ว่าจะเรื่องเงินบริจาค เรื่องการสื่อสารวิญญาณของหมอดู หรือการที่ทางวัดนำเงินไปใช้ในสิ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์หรือไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคค่ะ รบกวนผู้รู้อธิบายและยกพุทธวจนะในพระไตรปิฎกเพื่อเป็นกรณีศึกษาด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีปัญญา จะเห็นได้จริงๆ ว่า ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ถ้าไม่ได้มีความเข้าใจพระธรรมวินัยอย่างถูกต้อง มีแต่ความไม่รู้และถูกอกุศลธรรมครอบงำ การกระทำอะไรต่างๆ ก็จะถูกต้องไม่ได้ มีแต่สิ่งที่ผิดเท่านั้น เมื่อทำสิ่งที่ขัดกับพระธรรมวินัย ตรงกันข้ามกับพระธรรมวินัย ก็เท่ากับเป็นปฏิปักษ์หรือเป็นศัตรูกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ควรที่จะได้เข้าใจว่าวัดหรืออาราม เป็นที่อยู่ของผู้สงบซึ่งดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต เพื่อศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสของตนเอง ไม่ใช่สถานที่รักษาคนป่วยแต่อย่างใด ถ้าหากว่าผิดตั้งแต่ต้นแล้วก็จะผิดไปเรื่อยๆ มีเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตลอด และผู้ที่มากไปด้วยอกุศลก็เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ด้วยการกระทำทุจริตต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ กำลังทำทางให้ตนเองไปเกิดในอบายภูมิแท้ๆ เลย เป็นบุคคลผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง
ข้อที่น่าพิจารณาคือ ภิกษุคือใคร บวชเพื่ออะไร บวชเพื่อทำการรักษาคนป่วยหรือบวชเพื่อขัดเกลากิเลส ด้วยการศึกษาพระธรรมวินัย มีความเคารพอย่างยิ่งต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? การรักษาคนป่วย ไม่ใช่กิจหน้าที่ของพระภิกษุ แต่เป็นกิจหน้าที่ของฝ่ายคฤหัสถ์ มีโรงพยาบาล มีแพทย์ มีพยาบาล คอยพยาบาลดูแลรักษา
พระภิกษุ เว้นจากการรับและยินดีในเงินและทองโดยประการทั้งปวง ดังนั้น ถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินเมื่อใด ก็ผิดเมื่อนั้น สิ่งที่ผิด ก็ต้องผิด จะถูกไม่ได้เลย สำหรับเรื่องเงินทอง มีพระวินัยบัญญัติโดยตรง ตามข้อความใน พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม 1 ภาค 3 - หน้าที่ ๙๔๐ ดังนี้
อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
สำหรับพระภิกษุ จะทำเภสัช (ยา) ให้แก่ใครได้บ้างนั้น มีหลักฐานอ้างอิงในพระวินัยปิฎก ตามข้อความบางตอนใน พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้า ๔๓๑ เป็นต้นไป ดังนี้
ภิกษุไม่ควรทำเภสัชแก่ชนอื่นผู้มาแล้วๆ, เมื่อทำ ต้องทุกกฏ. แต่ควรทำให้แก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี.
ควรทำยาให้แก่คน ๕ จำพวก แม้อื่นอีก คือ มารดา ๑ บิดา ๑ คนบำรุงมารดาบิดานั้น ๑ ไวยาจักรของตน ๑ คนปัณฑุปลาส ๑. คนผู้ที่ชื่อว่าปัณฑุปลาส ได้แก่ คนผู้เพ่งบรรพชา ยังอยู่ในวิหารตลอดเวลาที่ยังตระเตรียมบาตรและจีวร.
ภิกษุควรทำยาให้แก่ชน ๑๐ จำพวก แม้อื่นอีก คือ พี่ชาย ๑ น้องชาย ๑ พี่หญิง ๑ น้องหญิง ๑ น้าหญิง ๑ ป้า ๑ อาชาย ๑ ลุง ๑ อาหญิง ๑ น้าชาย ๑. เว้นญาติ ๑๐ จำพวกเหล่านั้นเสีย ไม่ควรให้เภสัช แก่ชนเหล่าอื่น.
โยมมารดาและบิดาของพระอุปัชฌายะ เป็นไข้ มายังวิหาร, และพระอุปัชฌายะหลีกไปสู่ทิศเสีย. สัทธิวิหาริก ควรให้เภสัชอันเป็นของๆ พระอุปัชฌายะ. ถ้าไม่มี ควรบริจาคเภสัชของตน ถวายพระอุปัชฌายะให้ไป. แม้เมื่อของๆ ตนก็ไม่มี ควรแสวงหาทำให้เป็นของๆ พระอุปัชฌายะแล้วให้ไป โดยนัยดังกล่าวแล้ว. ในโยมมารดาและบิดาของสัทธิวิหาริก แม้พระอุปัชฌายะ ก็ควรปฏิบัติเหมือนอย่างนั้นเหมือนกัน. ในอาจารย์และอันเตวาสิกก็นัยนี้.
บุคคลแม้อื่นใด คือ คนจรมา ๑ โจร ๑ นักรบแพ้ ๑ ผู้เป็นใหญ่ ๑ คนที่พวกญาติสละเตรียมจะไป ๑ เป็นไข้เข้าไปสู่วิหาร. ภิกษุผู้ไม่หวังตอบแทน ควรทำเภสัช แก่คนทั้งหมดนั้น.
ตระกูลที่มีศรัทธาบำรุงด้วยปัจจัย ๔ ย่อมตั้งอยู่ในฐานเป็นมารดาและบิดาของภิกษุสงฆ์. ถ้าในตระกูลนั้น มีคนบางคนเป็นไข้, ชนทั้งหลายเรียนขอเพื่อประโยชน์แก่ผู้เป็นไข้นั้นว่า ท่านขอรับ! ขอพระคุณท่านทำเภสัชให้ ด้วยความวิสาสะ (ความคุ้นเคย) เถิด, ไม่ควรให้ ทั้งไม่ควรทำเลย. ก็ถ้าพวกเขารู้สิ่งที่ควร เรียนถามอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ! เขาปรุงเภสัชอะไรแก้โรคชื่อโน้น? ภิกษุจะตอบว่า เขาเอาสิ่งนี้และสิ่งนี้ ทำ (เภสัช) ดังนี้ ก็ควร.
ก็ภิกษุถูกคฤหัสถ์เรียนถามอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ! มารดาของกระผมเป็นไข้ ขอได้โปรดบอกเภสัชด้วยเถิด ดังนี้ ไม่ควรบอก. แต่ควรสนทนาถ้อยคำกะกันและกันว่า อาวุโส! ในโรคชนิดนี้ของภิกษุชื่อโน้น เขาปรุงเภสัชอะไรแก้? ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า เขาเอาสิ่งนี้และนี้ ปรุงเภสัช ขอรับ! ฝ่ายชาวบ้าน ฟังคำสนทนานั้นแล้ว ย่อมปรุงเภสัชแก่มารดา; ข้อที่ภิกษุสนทนากันนั้น ย่อมควร.
การที่ภิกษุจะช่วยคฤหัสถ์ ก็ควรจะเป็นการช่วยคฤหัสถ์ให้ได้เข้าใจธรรม ตามข้อความในพหุการสูตร พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม 1 ภาค 4 - หน้า ๖๗๗ ดังนี้
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย เป็นผู้มีอุปการะมากแก่เธอทั้งหลาย บำรุงเธอทั้งหลายด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้เธอทั้งหลายก็จงเป็นผู้มีอุปการะมากแก่พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย จงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง แก่พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นเถิด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลาย ต่างอาศัยซึ่งกันและกันด้วยอำนาจอามิสทานและธรรมทาน อยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อต้องการสลัดโอฆะ (กิเลสที่เป็นห้วงน้ำใหญ่ที่ทำให้หมู่สัตว์จมลงในสังสารวัฏฏ์) เพื่อจะทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ด้วยประการอย่างนี้”
จะเห็นได้ว่ากิจหน้าที่สำคัญของพระภิกษุ คือ ศึกษาพระธรรมวินัย ประพฤติตามพระธรรมวินัย ทำกิจที่ควรทำตามควรแก่เพศของตน แล้วแสดงความจริงประกาศคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามความเป็นจริงให้รู้ทั่วกัน ซึ่งเป็นการช่วยสังคมที่ประเสริฐยิ่ง เกื้อกูลผู้อื่นให้เข้าใจพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ช่วยสังคมคฤหัสถ์ให้เข้าใจถูกต้อง ไม่เข้าใจผิด ช่วยชีวิตของคฤหัสถ์จากความไม่รู้เป็นความเข้าใจถูก เมื่อมีความเข้าใจถูกแล้ว ก็เป็นคนดี เมื่อทำสิ่งที่ดีก็จะเป็นเหตุให้ได้รับผลที่ดีในภายหน้า เป็นการช่วยสังคมคฤหัสถ์ตั้งแต่ต้น
คฤหัสถ์ที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่ส่งเสริมไม่สนับสนุนในสิ่งที่ไม่ถูกต้องโดยประการทั้งปวง พร้อมทั้งยังสามารถที่จะเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจอย่างถูกต้องตามไปด้วย ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณdekengfrance และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...