[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม 7 ภาค 2 - หน้า 509
ยุคนัทธวรรค
๓. โพชฌงคกถา
ว่าด้วยโพชฌงค์ ๗ หน้า 509
ว่าด้วยความหมายของโพชฌงค์ หน้า 519
อรรถกถาโพชฌงคกถา หน้า 523
อรรถกถามูลมูลกาทิทสกกถา หน้า 526
อรรถกถาสุตตันตนิเทศ หน้า 529
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 509
ยุคนัทธวรรค โพชฌงคกถา
ว่าด้วยโพชฌงค์ ๗
สาวัตถีนิทาน
[๕๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการนี้ ๗ ประการ เป็นไฉน คือสติสัมโพชฌงค์ ๑ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ๑ วิริยสัมโพชฌงค์ ๑ ปีติสัมโพชฌงค์ ๑ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ๑ สมาธิสัมโพชฌงค์ ๑ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการนี้แล.
คำว่า โพชฺฌงฺคา ความว่า ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่ากระไร.
ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า เป็นไปในความตรัสรู้ ว่าย่อมตรัสรู้ ว่าตรัสรู้ตาม ว่าตรัสรู้เฉพาะ ว่าตรัสรู้พร้อม ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ตาม เพราะอรรถว่า ตรัสรู้เฉพาะ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้พร้อม ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ให้ตรัสรู้ ว่าให้ตรัสรู้ตาม ว่าให้ตรัสรู้เฉพาะ ว่าให้ตรัสรู้พร้อม ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ให้ตรัสรู้ เพราะอรรถว่า ให้ตรัสรู้ตาม เพราะอรรถว่า ให้ตรัสรู้พร้อม ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า เป็นไปในธรรมฝ่ายตรัสรู้ เพราะอรรถว่า เป็นไปในธรรมฝ่ายตรัสรู้ตาม เพราะอรรถว่า เป็นไปในธรรมฝ่ายเครื่องตรัสรู้เฉพาะ เพราะอรรถว่า เป็นไปในธรรมฝ่ายเครื่องตรัสรู้พร้อม ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้ได้ความตรัสรู้ เพราะอรรถว่า ปลูกความตรัสรู้ เพราะอรรถว่า บำรุงความตรัสรู้ เพราะอรรถว่า ให้ถึงความตรัสรู้ เพราะอรรถว่า ให้ถึงพร้อมความตรัสรู้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 510
[๕๕๘] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า เป็นมูล เพราะอรรถว่า ประพฤติตามอรรถที่เป็นมูล เพราะอรรถว่า กำหนดธรรมที่เป็นมูล เพราะอรรถว่า เป็นบริวารแห่งธรรมอันเป็นมูล เพราะอรรถว่า มีธรรมอันเป็นมูลบริบูรณ์ เพราะอรรถว่า มีธรรมอันเป็นมูลแก่กล้า เพราะอรรถว่า แตกฉานในธรรมอันเป็นมูล เพราะอรรถว่า ให้ถึงความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูล เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูล ชื่อว่า โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูล เพราะอรรถว่า เป็นเหตุ เพราะอรรถว่า ประพฤติตามเหตุ ฯ เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในเหตุ ชื่อว่า โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในเหตุ เพราะอรรถว่า เป็นปัจจัย เพราะอรรถว่า ประพฤติตามปัจจัย ฯ เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในปัจจัย ชื่อว่า โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในปัจจัย เพราะอรรถว่า หมดจด เพราะอรรถว่า ประพฤติหมดจด ฯ เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในความหมดจด ชื่อว่า โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในความหมดจด เพราะอรรถว่า ไม่มีโทษ เพราะอรรถว่า ประพฤติไม่มีโทษ ฯ เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในความไม่มีโทษ ชื่อว่า โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในความไม่มีโทษ เพราะอรรถว่า เป็นเนกขัมมะ เพราะอรรถว่า ประพฤติเนกขัมมะ ฯ เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในเนกขัมมะ ชื่อว่า โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในเนกขัมมะ เพราะอรรถว่า หลุดพ้น เพราะอรรถว่า ประพฤติหลุดพ้น ฯ เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในความหลุดพ้น ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 511
โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในความหลุดพ้น เพราะอรรถว่า ไม่มีอาสวะ เพราะอรรถว่า ประพฤติไม่มีอาสวะ ฯ เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในความไม่มีอาสวะ ชื่อว่า โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในความไม่มีอาสวะ เพราะอรรถว่า เป็นวิเวก เพราะอรรถว่า ประพฤติวิเวก ฯ เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในวิเวก ชื่อว่า โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในวิเวก เพราะอรรถว่า ปล่อยวาง เพราะอรรถว่า ประพฤติปล่อยวาง เพราะอรรถว่า กำหนดความปล่อยวาง เพราะอรรถว่า เป็นบริวารแห่งความปล่อยวาง เพราะอรรถว่า มีความปล่อยวางบริบูรณ์ เพราะอรรถว่า มีความปล่อยวางแก่กล้า เพราะอรรถว่า แตกฉานในความปล่อยวาง เพราะอรรถว่า ให้ถึงความแตกฉานในความปล่อยวาง เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญในความแตกฉานในความปล่อยวาง ชื่อว่า โพชฌงค์ แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในความปล่อยวาง.
[๕๕๙] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สภาพอันเป็นมูล ว่าตรัสรู้สภาพอันเป็นเหตุ ว่าตรัสรู้สภาพอันเป็นปัจจัย ว่าตรัสรู้สภาพอันหมดจด ว่าตรัสรู้สภาพอันไม่มีโทษ ว่าตรัสรู้สภาพอันเป็นเนกขัมมะ ว่าตรัสรู้สภาพวิมุตติ ว่าตรัสรู้สภาพไม่มีอาสวะ ว่าตรัสรู้สภาพวิเวก ว่าตรัสรู้สภาพปล่อยวาง ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติธรรมอันเป็นมูล ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติธรรมอันเป็นเหตุ ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติธรรมอันเป็นปัจจัย ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติหมดจด ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติไม่มีโทษ ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติเนกขัมมะ ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติวิมุตติ (หลุดพ้น) ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติไม่มีอาสวะ ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติวิเวก ว่าตรัสรู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 512
สภาพความประพฤติปล่อยวาง ว่าตรัสรู้สภาพความกำหนดธรรมอันเป็นมูล ฯ ว่าตรัสรู้สภาพความกำหนดปล่อยวาง ว่าตรัสรู้สภาพธรรมอันเป็นมูลเป็นบริวาร ฯ ว่าตรัสรู้สภาพมีความปล่อยวางเป็นบริวาร ว่าตรัสรู้สภาพมีธรรมอันเป็นมูลบริบูรณ์ ฯ ว่าตรัสรู้สภาพมีความปล่อยวางบริบูรณ์ ว่าตรัสรู้สภาพธรรมอันเป็นมูลแก่กล้า ฯ ว่าตรัสรู้ธรรมอันมีความปล่อยวางแก่กล้า ว่าตรัสรู้สภาพความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูล ฯ ว่าตรัสรู้สภาพความแตกฉานในความปล่อยวาง ว่าตรัสรู้สภาพอันให้ถึงความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูล ฯ ว่าตรัสรู้สภาพอันให้ถึงความแตกฉานในความปล่อยวาง ว่าตรัสรู้สภาพความเจริญความชำนาญในความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูล ฯ ว่าตรัสรู้สภาพความเจริญความชำนาญในความแตกฉานในความปล่อยวาง ฯ.
[๕๖๐] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพระอรรถว่า ตรัสรู้สภาพความกำหนด ว่าตรัสรู้สภาพบริวาร ฯ ตรัสรู้สภาพบริบูรณ์ ว่าตรัสรู้สภาพแห่งจิตมีอารมณ์เดียว ว่าตรัสรู้สภาพความไม่ฟุ้งซ่าน ว่าตรัสรู้สภาพประคองไว้ ว่าตรัสรู้สภาพความไม่แพร่ไป (ไม่ซ่านไป) ว่าตรัสรู้สภาพความไม่ขุ่นมัว ว่าตรัสรู้สภาพไม่มีกิเลสเครื่องหวั่นไหว ว่าตรัสรู้สภาพตั้งอยู่แห่งจิต ด้วยสามารถความปรากฏโดยความมีอารมณ์เดียว ว่าตรัสรู้สภาพอารมณ์ ว่าตรัสรู้สภาพโคจร ว่าตรัสรู้สภาพละ ว่าตรัสรู้สภาพสละ ว่าตรัสรู้สภาพการออกไป ว่าตรัสรู้สภาพความหลีกไป ว่าตรัสรู้สภาพละเอียด ว่าตรัสรู้สภาพประณีต ว่าตรัสรู้สภาพหลุดพ้น ว่าตรัสรู้สภาพไม่มีอาสวะ ว่าตรัสรู้สภาพการข้ามไป ว่าตรัสรู้สภาพนิพพานอันไม่มีนิมิต ว่าตรัสรู้สภาพนิพพานอันไม่มีที่ตั้ง ว่าตรัสรู้สภาพนิพพานอันว่างเปล่า ว่าตรัสรู้สภาพธรรมอันมีกิจเป็นอันเดียวกัน ว่าตรัสรู้สภาพธรรมอันไม่ล่วงเกินกัน ว่าตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นคู่กัน ว่าตรัสรู้สภาพธรรมเครื่องนำออก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 513
ว่าตรัสรู้สภาพแห่งเหตุ ว่าตรัสรู้สภาพทัสสนะ ว่าตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นใหญ่.
[๕๖๑] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งสมถะ ว่าตรัสรู้ความพิจารณาเห็นแห่งวิปัสสนา ว่าตรัสรู้ความมีกิจเป็นอันเดียวกันแห่งสมถะและวิปัสสนา ว่าตรัสรู้ความไม่ล่วงเกินกันแห่งธรรมที่คู่กัน ว่าตรัสรู้ความสมาทานสิกขา ว่าตรัสรู้ความเป็นโคจรแห่งอารมณ์ ว่าตรัสรู้ความประคองจิตที่หดหู่ไว้ ว่าตรัสรู้ความข่มจิตที่ฟุ้งซ่าน ว่าตรัสรู้ความวางเฉยแห่งจิตที่บริสุทธิ์ทั้งสองอย่าง ว่าตรัสรู้ความบรรลุธรรมพิเศษ ว่าตรัสรู้ความแทงตลอดธรรมที่ยิ่ง ว่าตรัสรู้ความตรัสรู้สัจจะ ว่าตรัสรู้ความยังจิตให้ตั้งอยู่ในนิโรธ.
[๕๖๒] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ความน้อมใจเชื่อแห่งสัทธินทรีย์ ฯ ว่าตรัสรู้ความเห็นแห่งปัญญินทรีย์ ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ความไม่หวั่นไหวในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาแห่งสัทธาพละ ฯ ว่าตรัสรู้ความไม่หวั่นไหวในอวิชชาแห่งปัญญาพละ ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ความปรากฏแห่งสติสัมโพชฌงค์ ฯ ว่าตรัสรู้ความพิจารณาหาทางแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ความเห็นชอบแห่งสัมมาทิฏฐิ ฯ ว่าตรัสรู้ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งสัมมาสมาธิ ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ความเป็นใหญ่แห่งอินทรีย์ ว่าตรัสรู้ความไม่หวั่นไหวแห่งพละ ว่าตรัสรู้ความนำออกแห่งโพชฌงค์ ว่าตรัสรู้ความเป็นเหตุแห่งมรรค ว่าตรัสรู้ความปรากฏแห่งสติปัฏฐาน ว่าตรัสรู้ความตั้งไว้แห่งสัมมัปปธาน ว่าตรัสรู้ความให้สำเร็จแห่งอิทธิบาท ว่าตรัสรู้ความเป็นธรรมแท้แห่งสัจจะ ว่าตรัสรู้ความระงับแห่งปโยคะ ว่าตรัสรู้ความทำให้แจ้งแห่งผล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 514
ว่าตรัสรู้ความตรึกแห่งวิตก ว่าตรัสรู้ความตรองแห่งวิจาร ว่าตรัสรู้ความแผ่ซ่านแห่งปีติ ว่าตรัสรู้ความไหลไปแห่งสุข ว่าตรัสรู้ความมีอารมณ์เดียวแห่งจิต.
[๕๖๓] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สภาพความนึก ว่าตรัสรู้สภาพความรู้แจ้ง ว่าตรัสรู้สภาพความรู้ชัด ว่าตรัสรู้สภาพความหมายรู้ ว่าตรัสรู้สภาพสมาธิอันเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ว่าตรัสรู้สภาพที่ควรรู้ยิ่ง ว่าตรัสรู้สภาพที่ควรกำหนดพิจารณา (แห่งปริญญา) ว่าตรัสรู้สภาพสละแห่งปหานะ ว่าตรัสรู้สภาพมีกิจเป็นอันเดียวกันแห่งภาวนา ว่าตรัสรู้สภาพควรถูกต้องแห่งสัจฉิกิริยา ว่าตรัสรู้สภาพเป็นกองแห่งขันธ์ ว่าตรัสรู้สภาพทรงไว้แห่งธาตุ ว่าตรัสรู้สภาพเป็นบ่อเกิดแห่งอายตนะ ว่าตรัสรู้สภาพที่ปัจจัยปรุงแต่งแห่งสังขตธรรม ว่าตรัสรู้สภาพที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรม.
[๕๖๔] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สภาพแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพที่มีอยู่ในระหว่างแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพความออกแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพความหลีกไปแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพเป็นเหตุแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพเป็นปัจจัยแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพเป็นที่ตั้งแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพเป็นภูมิแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพเป็นอารมณ์แห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพเป็นโคจรแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติแห่งจิต ว่าตรัสรู้สภาพที่ดำเนินไปแห่งจิต.
[๕๖๕] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สภาพความนึกในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความรู้แจ้งในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความรู้ชัดในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความหมายรู้ในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพเป็นสมาธิ (เป็นธรรมเอกผุดขึ้น) ในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความแล่นไปในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความผ่องใสในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความเพิกเฉย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 515
ในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความหลุดพ้นในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความเห็นว่านี้ละเอียดในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่ทำเป็นดุจยานในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความตั้งขึ้นเนืองๆ ในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่ทำให้เป็นที่ตั้งในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความตั้งขึ้นเนืองๆ ในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพสะสมในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพปรารภด้วยดีในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่กำหนดในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพเป็นบริวารในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพบริบูรณ์ในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่ประชุมลงในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพตั้งมั่นในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพเป็นที่เสพในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพเจริญในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่ทำให้มากในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่ขึ้นไปดีในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพหลุดพ้นด้วยดีในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพตรัสรู้ในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพตรัสรู้ตามในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพตรัสรู้เฉพาะในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพตรัสรู้พร้อมในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่ให้ตรัสรู้ในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่ให้ตรัสรู้ตามในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่ให้ตรัสรู้เฉพาะในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพที่ให้ตรัสรู้พร้อมในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายธรรมเครื่องให้ตรัสรู้ในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายธรรมเครื่องให้ตรัสรู้ตามในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายธรรมเครื่องให้ตรัสรู้เฉพาะในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายธรรมเครื่องให้ตรัสรู้พร้อมในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความสว่างในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความสว่างขึ้นในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความสว่างตามในธรรมอย่างเดียว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 516
ว่าตรัสรู้สภาพความสว่างเฉพาะในธรรมอย่างเดียว ว่าตรัสรู้สภาพความสว่างพร้อมในธรรมอย่างเดียว.
[๕๖๖] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สภาพที่เป็นบาทแห่งวิมังสา ว่าตรัสรู้สภาพดับ ว่าตรัสรู้สภาพเผาผลาญ ว่าตรัสรู้สภาพความรุ่งเรือง ว่าตรัสรู้สภาพเครื่องให้กิเลสเร่าร้อน ว่าตรัสรู้สภาพธรรมที่ไม่มีมลทิน ว่าตรัสรู้สภาพธรรมที่ปราศจากมลทิน ว่าตรัสรู้สภาพธรรมที่หามลทินมิได้ ว่าตรัสรู้สภาพความสงบ ว่าตรัสรู้สภาพเครื่องให้สงบ ว่าตรัสรู้สภาพความสงัด ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติสงัด ว่าตรัสรู้สภาพความสำรอกกิเลส ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติสำรอกกิเลส ว่าตรัสรู้สภาพความดับ ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติความดับ ว่าตรัสรู้สภาพความปล่อยวาง ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติความปล่อยวาง ว่าตรัสรู้สภาพหลุดพ้น ว่าตรัสรู้สภาพความประพฤติหลุดพ้น ว่าตรัสรู้สภาพฉันทะ ว่าตรัสรู้สภาพที่เป็นมูลแห่งฉันทะ ว่าตรัสรู้สภาพเป็นบาทแห่งฉันทะ ว่าตรัสรู้สภาพที่เป็นประธานแห่งฉันทะ ว่าตรัสรู้สภาพที่ให้สำเร็จแห่งฉันทะ ว่าตรัสรู้สภาพน้อมไปแห่งฉันทะ ว่าตรัสรู้สภาพประคองไว้แห่งฉันทะ ว่าตรัสรู้สภาพตั้งมั่น (ปรากฏ) แห่งฉันทะ ว่าตรัสรู้สภาพไม่ฟุ้งซ่านแห่งฉันทะ ว่าตรัสรู้สภาพวิริยะ ฯ ว่าตรัสรู้สภาพจิตตะ ฯ ว่าตรัสรู้สภาพวิมังสา ว่าตรัสรู้สภาพที่เป็นมูลแห่งวิมังสา ว่าตรัสรู้สภาพที่เป็นบาทแห่งวิมังสา ว่าตรัสรู้สภาพที่เป็นประธานแห่งวิมังสา ว่าตรัสรู้สภาพที่ให้สำเร็จแห่งวิมังสา ว่าตรัสรู้สภาพน้อมไปแห่งวิมังสา ว่าตรัสรู้สภาพประคองไว้แห่งวิมังสา ว่าตรัสรู้สภาพตั้งมั่น (ปรากฏ) แห่งวิมังสา ว่าตรัสรู้สภาพไม่ฟุ้งซ่านแห่งวิมังสา.
[๕๖๗] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ความบีบคั้นแห่งทุกข์ ว่าตรัสรู้สภาพที่ปัจจัยปรุงแต่งแห่งทุกข์ ว่าตรัสรู้สภาพที่ให้เดือดร้อนแห่งทุกข์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 517
ว่าตรัสรู้สภาพความแปรปรวนแห่งทุกข์ ว่าตรัสรู้สภาพความประมวลมาแห่งสมุทัย ว่าตรัสรู้สภาพเป็นเหตุแห่งสมุทัย ว่าตรัสรู้สภาพที่ประกอบไว้แห่งสมุทัย ว่าตรัสรู้สภาพพัวพันแห่งสมุทัย ว่าตรัสรู้สภาพที่สลัดออกแห่งทุกขนิโรธ ว่าตรัสรู้สภาพสงัดแห่งทุกขนิโรธ ว่าตรัสรู้สภาพที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งทุกขนิโรธ ว่าตรัสรู้สภาพเป็นอมตะแห่งทุกขวิโรธ ว่าตรัสรู้สภาพที่นำออกแห่งมรรค ว่าตรัสรู้สภาพเป็นเหตุแห่งมรรค ว่าตรัสรู้สภาพที่เห็นแห่งมรรค ว่า ตรัสรู้สภาพความเป็นใหญ่แห่งมรรค ว่าตรัสรู้สภาพที่ถ่องแท้ ว่าตรัสรู้สภาพเป็นอนัตตา ว่าตรัสรู้สภาพเป็นของจริง ว่าตรัสรู้สภาพแทงตลอด ว่าตรัสรู้สภาพที่ควรรู้ยิ่ง ว่าตรัสรู้สภาพที่ควรกำหนดรู้ ว่าตรัสรู้สภาพเป็นธรรม ว่าตรัสรู้สภาพที่เป็นธาตุ ว่าตรัสรู้สภาพที่ปรากฏ ว่าตรัสรู้สภาพที่ควรทำให้แจ้ง ว่าตรัสรู้สภาพถูกต้อง (สัมผัส) ว่าตรัสรู้สภาพตรัสรู้ ว่าตรัสรู้เนกขัมมะ ว่าตรัสรู้ความไม่พยาบาท ว่าตรัสรู้อาโลกสัญญา ว่าตรัสรู้ความไม่ฟุ้งซ่าน ว่าตรัสรู้การกำหนดธรรม ว่าตรัสรู้ญาณ ว่าตรัสรู้ความปราโมทย์ ว่าตรัสรู้ปฐมญาณ ฯ ว่าตรัสรู้อรหัตมรรค.
[๕๖๘] ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สัทธินทรีย์ด้วยความว่าน้อมใจเชื่อ ฯ ว่าตรัสรู้ปัญญินทรีย์ด้วยความว่าเห็น ว่าตรัสรู้สัทธาพละด้วยความไม่หวั่นไหวในความไม่มีศรัทธา ฯ ว่าตรัสรู้ปัญญาพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวในอวิชชา ว่าตรัสรู้สติสัมโพชฌงค์ด้วยความว่าปรากฏ ฯ ว่าตรัสรู้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ด้วยความว่าพิจารณาหาทาง ว่าตรัสรู้สัมมาทิฏฐิด้วยความว่าเห็น ฯ ว่าตรัสรู้สัมมาสมาธิด้วยความว่าไม่ฟุ้งซ่าน ว่าตรัสรู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 518
อินทรีย์ด้วยความว่าเป็นใหญ่ ว่าตรัสรู้พละด้วยความว่าไม่หวั่นไหว ว่าตรัสรู้สภาพนำออก ว่าตรัสรู้มรรคด้วยความว่าเป็นเหตุ ว่าตรัสรู้สติปัฏฐานด้วยความว่าตั้งมั่น (ปรากฏ) ว่าตรัสรู้สัมมัปปธานด้วยความว่าตั้งไว้ ว่าตรัสรู้อิทธิบาทด้วยความว่าให้สำเร็จ ว่าตรัสรู้สัจจะด้วยความว่าเป็นของแท้ ว่าตรัสรู้สมถะด้วยความว่าไม่ฟุ้งซ่าน ว่าตรัสรู้วิปัสสนาด้วยความว่าพิจารณาเห็น ว่าตรัสรู้สมถะและวิปัสสนาด้วยความว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ว่าตรัสรู้ธรรมที่เป็นคู่กันด้วยความว่าไม่ล่วงเกินกัน ว่าตรัสรู้สีลวิสุทธิด้วยความว่าสำรวม ว่าตรัสรู้จิตตวิสุทธิด้วยความว่าไม่ฟุ้งซ่าน ว่าตรัสรู้ทิฏฐิวิสุทธิด้วยความว่าเห็น ว่าตรัสรู้วิโมกข์ด้วยความว่าหลุดพ้น ว่าตรัสรู้วิชชาด้วยความว่าแทงตลอด ว่าตรัสรู้วิมุตติด้วยความว่าสละ ว่าตรัสรู้ขยญาณด้วยความว่าตัดขาด ว่าตรัสรู้ญาณในความไม่เกิดขึ้นด้วยความว่าระงับ ว่าตรัสรู้ฉันทะด้วยความว่าเป็นมูล ว่าตรัสรู้มนสิการด้วยความว่าเป็นสมุฏฐาน (เป็นสภาพที่ตั้งขึ้น) ว่าตรัสรู้ผัสสะด้วยความว่าเป็นที่รวม ว่าตรัสรู้เวทนาด้วยความว่าเป็นที่ประชุม ว่าตรัสรู้สมาธิด้วยความว่าเป็นประธาน ว่าตรัสรู้สติด้วยความว่าเป็นใหญ่ ว่าตรัสรู้ปัญญาด้วยความว่าเป็นธรรมยิ่งกว่าธรรมนั้นๆ ว่าตรัสรู้วิมุตติด้วยความว่าเป็นสาระ ว่าตรัสรู้นิพพานอันหยั่งลงในอมตะด้วยความว่าเป็นที่สุด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 519
สาวัตถีนิทาน
ว่าด้วยความหมายของโพชฌงค์
[๕๖๙] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉน คือสติสัมโพชฌงค์ ฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการนี้แล ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมนั้นหวังจะอยู่ในเวลาเช้าด้วยโพชฌงค์ใดๆ ในโพชฌงค์ ๗ ประการนี้ ก็อยู่ในเวลาเช้าด้วยโพชฌงค์นั้นๆ หวังจะอยู่ในเวลาเที่ยง ฯ เวลาเย็นด้วยโพชฌงค์ใดๆ ก็อยู่ในเวลาเย็นด้วยโพชฌงค์นั้นๆ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าสติสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่ดังนี้ สติสัมโพชฌงค์ของผมก็ชื่อว่า หาประมาณมิได้ ชื่อว่า ผมปรารภแล้วด้วยดี เมื่อผมกำลังเที่ยวไป ย่อมรู้ชัดซึ่งสติสัมโพชฌงค์ที่ดำรงอยู่ว่า ดำรงอยู่ ถ้าแม้สติสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไป ผมย่อมรู้ว่า สติสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไปเพราะปัจจัยนี้ ฯ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าอุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่ดังนี้ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมก็ชื่อว่า หาประมาณมิได้ ชื่อว่า ผมปรารภแล้วด้วยดี เมื่อผมกำลังเที่ยวไปย่อมรู้ซึ่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ดำรงอยู่ว่า ดำรงอยู่ ถ้าแม้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไป ผมย่อมรู้ว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไปเพราะปัจจัยนี้ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบเหมือนตู้เก็บผ้าของพระราชา หรือของราชมหาอำมาตย์ เต็มด้วยผ้าสีต่างๆ พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์นั้นประสงค์จะใช้ผ้าคู่ใดในเวลาเช้า ก็ใช้ผ้าคู่นั้นนั่นแล ประสงค์จะใช้ผ้าคู่ใดใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 520
เวลาเที่ยง ในเวลาเย็น ก็ใช้ผ้าคู่นั้นนั่นแล ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมก็ฉันนั้นเหมือนกันแล หวังจะอยู่ในเวลาเช้าด้วยโพชฌงค์ใดๆ ในโพชฌงค์ ๗ ประการนี้ ฯ ถ้าแม้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไป ก็รู้ว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไปเพราะปัจจัยนี้.
[๕๗๐] โพชฌงค์ในข้อว่า ถ้าสติสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่ดังนี้นั้น มีอยู่อย่างไร.
นิโรธปรากฏอยู่เพียงใด โพชฌงค์ในข้อว่า ถ้าสติสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่ดังนี้นั้น ก็มีอยู่เพียงนั้น เปรียบเหมือนเมื่อดวงประทีปที่ตามด้วยน้ำมัน กำลังสว่างอยู่ เปลวไฟมีเพียงใด แสงก็มีเพียงนั้น แสงมีเพียงใด เปลวไฟก็มีเพียงนั้น ฉันใด นิโรธปรากฏอยู่เพียงใด โพชฌงค์ในข้อว่า ถ้าสติสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่ดังนี้นั้น ก็มีอยู่เพียงนั้น ฉันนั้น.
โพชฌงค์ในข้อว่า สติสัมโพชฌงค์ของผมก็ชื่อว่า หาประมาณมิได้นั้น มีอยู่อย่างไร.
กิเลสทั้งหลาย ปริยุฏฐานกิเลสทั้งปวงเทียว และสังขารอันให้เกิดในภพใหม่นั้น มีประมาณ นิโรธหาประมาณมิได้ เพราะความเป็นอสังขตธรรม นิโรธย่อมปรากฏเพียงใด โพชฌงค์ในข้อว่า สติสัมโพชฌงค์ของผมก็ชื่อว่า หาประมาณมิได้นั้น ก็มีอยู่เพียงนั้น.
โพชฌงค์ในข้อว่า สติสัมโพชฌงค์ชื่อว่า ผมปรารภแล้วด้วยดีนั้น มีอยู่อย่างไร.
กิเลสทั้งหลาย ปริยุฏฐานกิเลสทั้งปวงเทียว และสังขารอันให้เกิดในภพใหม่นั้น ไม่เสมอ นิโรธมีความเสมอเป็นธรรมดา เพราะความเป็นธรรมละเอียด เพราะความเป็นธรรมประณีต นิโรธย่อมปรากฏเพียงใด โพชฌงค์ในข้อว่า สติสัมโพชฌงค์ชื่อว่า ผมปรารภแล้วด้วยดีนั้น ก็มีอยู่เพียงนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 521
[๕๗๑] เมื่อผมเที่ยวไป ย่อมรู้ชัดซึ่งสติสัมโพชฌงค์ที่ดำรงอยู่ว่า ดำรงอยู่ ถ้าแม้เคลื่อนไป ก็รู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไปเพราะปัจจัยนี้ อย่างไร สติสัมโพชฌงค์ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาการเท่าไร ย่อมเคลื่อนไปด้วยอาการเท่าไร สติสัมโพชฌงค์ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาการ ๘ ย่อมเคลื่อนไปด้วยอาการ ๘.
สติสัมโพชฌงค์ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาการ ๘ เป็นไฉน.
สติสัมโพชฌงค์ ย่อมดำรงอยู่ด้วยความนึกถึงนิพพานอันไม่มีความเกิด ๑ ด้วยความไม่นึกถึงความเกิด ๑ ด้วยความนึกถึงนิพพานอันไม่มีความเป็นไป ๑ ด้วยความไม่นึกถึงความเป็นไป ๑ ด้วยความนึกถึงนิพพานอันไม่มีนิมิต ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิมิต ๑ ด้วยความนึกถึงนิโรธ ๑ ด้วยความไม่นึกถึงสังขาร ๑ สติสัมโพชฌงค์ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาการ ๘ นี้.
สติสัมโพชฌงค์ย่อมเคลื่อนไปด้วยอาการ ๘ เป็นไฉน.
สติสัมโพชฌงค์ ย่อมเคลื่อนไปด้วยความนึกถึงความเกิด ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิพพานอันไม่มีความเกิด ๑ ด้วยความนึกถึงความเป็นไป ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิพพานอันไม่มีความเป็นไป ๑ ด้วยความนึกถึงนิมิต ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิพพานอันไม่มีนิมิต ๑ ด้วยความนึกถึงสังขาร ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิโรธ ๑ สติสัมโพชฌงค์ย่อมเคลื่อนไปด้วยอาการ ๘ นี้.
เมื่อผมกำลังเที่ยวไป ย่อมรู้ชัดซึ่งสติสัมโพชฌงค์ที่ดำรงอยู่ว่า ดำรงอยู่ ถ้าแม้เคลื่อนไป ก็รู้ชัดว่าสติสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไปเพราะปัจจัยนี้ อย่างนี้ ฯ.
[๕๗๒] โพชฌงค์ในข้อว่า ถ้าอุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่ดังนี้นั้น มีอยู่อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 522
นิโรธปรากฏอยู่เพียงใด โพชฌงค์ในข้อว่า ถ้าอุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่ดังนี้นั้น ก็มีเพียงนั้น เปรียบเหมือนดวงประทีปที่ตามด้วยน้ำมัน กำลังสว่างอยู่ ฯ.
โพชฌงค์ในข้อว่า อุเขกขาสัมโพชฌงค์ของผมก็ชื่อว่า หาประมาณมิได้นั้น มีอยู่อย่างไร ฯ.
โพชฌงค์ในข้อว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ชื่อว่า ผมปรารภแล้วด้วยดีนั้น มีอยู่อย่างไร ฯ.
เมื่อผมเที่ยวไป ย่อมรู้ชัดซึ่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ดำรงอยู่ว่า ดำรงอยู่ ถ้าแม้เคลื่อนไป ก็รู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไปเพราะปัจจัยนี้ อย่างไร อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมดำรงอยู่ ด้วยอาการเท่าไร ย่อมเคลื่อนไป ด้วยอาการเท่าไร อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาการ ๘ ย่อมเคลื่อนไปด้วยอาการ ๘.
[๕๗๓] อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาการ ๘ เป็นไฉน.
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมดำรงอยู่ด้วยความนึกถึงนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น ๑ ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะความไม่นึกถึงความเกิด ๑ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ความน้อมไปแห่งจิต ว่าตรัสรู้ความนำออกแห่งจิต อุเบกขาสัมโพชฌงค์ดำรงไว้ซึ่งความสลัดออกแห่งจิต ด้วยความนึกถึงนิพพานอันไม่มีความเป็นไป ๑ ด้วยความไม่นึกถึงความเป็นไป ๑ ด้วยความนึกถึงนิพพานอันไม่มีนิมิต ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิมิต ๑ ด้วยความนึกถึงนิโรธ ๑ ด้วยความไม่นึกถึงสังขาร ๑ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาการ ๘ นี้.
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเคลื่อนไปด้วยอาการ ๘ เป็นไฉน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 523
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมเคลื่อนไปด้วยความนึกถึงความเกิด ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิพพานอันไม่มีความเกิด ๑ ด้วยความนึกถึงความเป็นไป ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิพพานอันไม่มีความเป็นไป ๑ ด้วยความนึกถึงนิมิต ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิพพานอันไม่มีนิมิต ๑ ด้วยความนึกถึงสังขาร ๑ ด้วยความไม่นึกถึงนิโรธ ๑ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเคลื่อนไปด้วยอาการ ๘ นี้ เมื่อผมกำลังเที่ยวไป ย่อมรู้ชัดซึ่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ดำรงอยู่ว่า ดำรงอยู่ ถ้าแม้เคลื่อนไป ก็รู้ว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของผมเคลื่อนไปเพราะปัจจัยนี้ อย่างนี้.
จบโพชฌงคกถา
อรรถกถาโพชฌงคกถา
บัดนี้ จะพรรณนาความตามลำดับที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งโพชฌงคกถาอันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้น ที่พระสารีบุตรเถระแสดงถึงความวิเศษของโพชฌงค์อันให้สำเร็จการแทงตลอดสัจจะกล่าวไว้แล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นดังต่อไปนี้.
บทว่า โพชฺฌงฺคา ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือแห่งบุคคลผู้ตรัสรู้ พระอริยสาวกย่อมตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคีอันได้แก่ สติ ธรรมวิจยะ วีริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา อันเกิดขึ้นในขณะแห่งโลกุตรมรรค เป็นปฏิปักษ์แห่งอันตรายทั้งหลายไม่น้อย มีความหดหู่ ฟุ้งซ่าน ความตั้งอยู่ ความประมวลมา (รวบรวม) ความประกอบกามสุข ทำตนให้ลำบาก อุจเฉททิฏฐิ สัสสตทิฏฐิและความถือมั่นเป็นต้น เพื่อเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โพธิ ผู้ตรัสรู้.
บทว่า พุชฺฌติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 524
(ย่อมตรัสรู้) ท่านอธิบายว่า ออกจากความหลับอันเป็นสันดานของกิเลส หรือแทงตลอดอริยสัจ ๔ หรือทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน.
เหมือนอย่างที่พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเจริญโพชฌงค์ ๗ แล้วตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งการตรัสรู้อันได้แก่ ธรรมสามัคคีนั้น ดุจองค์แห่งฌานและองค์แห่งมรรคเป็นต้น แม้พระอริยสาวกใดย่อมตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคีนั้นมีประการตามที่กล่าวแล้ว ท่านเรียกพระอริยสาวกนั้นว่า โพธิ ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งผู้ตรัสรู้นั้น ดุจองค์แห่งเสนาและองค์แห่งรถเป็นต้น ด้วยเหตุนั้น พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งบุคคลผู้ตรัสรู้ ท่านกล่าวอรรถแห่งสติสัมโพชฌงค์เป็นต้นไว้ในอภิญเญยยนิเทศ.
พึงทราบวินิจฉัยในโพชฌังคัตถนิเทศดังต่อไปนี้.
บทว่า โพธิยํ สํวตฺตนฺติ (ย่อมเป็นไปในความตรัสรู้) คือย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ เพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ของใคร เพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ของผู้มีกิจอันทำแล้ว (ด้วยปัจจเวกขณญาณ) ด้วยการพิจารณานิพพานด้วยมรรคและผล หรือเพื่อประโยชน์แก่การตื่นจากความหลับเพราะกิเลสด้วยมรรค เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นผู้ตรัสรู้ (ผู้ตื่นแล้ว) ด้วยผล โพชฌงค์ย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้แม้ด้วยวิปัสสนาที่มีกำลัง นี้เป็นอธิบายทั่วไปของโพชฌงค์อันเป็นวิปัสสนา มรรค และผล โพชฌงค์เหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ในฐานะ ๓ เพื่อแทงตลอดนิพพาน ด้วยบทนี้ เป็นอันท่านกล่าวถึงคำว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งการตรัสรู้.
เหตุเกิดของโพชฌงค์ ท่านกล่าวไว้ด้วยจตุกกะ ๕ (หมวดสี่ ๕ หมวด) มีอาทิว่า พุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา (ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า ย่อมตรัสรู้) ท่านกล่าวไว้ในอภิญเญยยนิเทศ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า พุชฺฌนฺติ (ย่อมตรัสรู้) ชี้แจงถึงผู้ทำ เพื่อให้เห็นความเป็นผู้สามารถ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 525
ในการทำกิจของตนแห่งโพชฌงค์.
บทว่า พุชฺฌนฏฺเน (เพราะอรรถว่า ตรัสรู้) แม้ความเป็นผู้สามารถในการทำกิจของตนมีอยู่ ก็ชี้แจงถึงภาวะเพื่อให้เห็นความไม่มีผู้ทำ.
บทว่า โพเธนฺติ (ย่อมให้ตรัสรู้) เมื่อพระโยคาวจรตรัสรู้ด้วยการเจริญโพชฌงค์ ชี้แจง (แสดงถึง) เหตุกัตตา (ผู้ใช้ให้ทำ) แห่งโพชฌงค์ เพราะเป็นผู้ประกอบ (เป็นเครื่องชักชวน).
บทว่า โพธนฏฺเน (เพราะอรรถว่า ให้ตรัสรู้) คือชี้แจงถึงภาวะของผู้ใช้ให้ทำ เพราะเป็นผู้ประกอบ (ชักชวน) ตามนัยดังกล่าวแล้วครั้งแรกนั่นแหละ.
บทว่า โพธิปกฺขิยฏฺเน (เพราะอรรถว่า เป็นไปในฝ่ายตรัสรู้) คือเพราะเป็นไปในฝ่ายของพระโยคาวจรผู้ได้ชื่อว่า โพธิ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ นี้เป็นการชี้แจงความที่โพชฌงค์เหล่านั้นเป็นอุปการะแก่พระโยคาวจร ด้วยบทเหล่านี้ ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งผู้ตรัสรู้.
พึงทราบวินิจฉัยในลักษณะ (ในหมวดหก) มีอาทิว่า พุทฺธิลภนฏฺเน (เพราะอรรถให้ได้ความตรัสรู้) บทว่า พุทฺธิลภนฏฺเน คือเพราะอรรถให้พระโยคาวจรถึงความตรัสรู้.
บทว่า โรปนฏฺเน (เพราะอรรถว่า ปลูก) ความตรัสรู้ คือเพราะอรรถว่า ให้สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่.
บทว่า ปาปนฏฺเน (เพราะอรรถว่า ให้ถึง) ความตรัสรู้ คือเพราะอรรถว่า ให้สำเร็จความที่ให้สัตว์ดำรงอยู่.
อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า โพชฌงค์อันเป็นวิปัสสนาเหล่านี้ คือโพชฌงค์อันเป็นมรรคผล ต่างกันด้วยอุปสรรค ๓ ศัพท์ คือ ปฏิ - อภิ - สํ (เฉพาะ-ยิ่ง-พร้อม) พึงทราบว่า ท่านอธิบายไว้ว่า ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ โพชฌงค์ทั้งหลายท่านชี้แจงไว้ด้วยธรรมโวหารแม้ทั้งหมด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 526
อรรถกถามูลมูลกาทิทสกกถา
พึงทราบวินิจฉัยในมูลมูลกทสกะ (หมวดสิบ) มีอาทิว่า มูลฏฺเน (เพราะอรรถว่า เป็นมูล) ดังต่อไปนี้.
บทว่า มูลฏฺเน (เพราะอรรถว่า เป็นมูล) คือในวิปัสสนาเป็นต้น เพราะอรรถว่า โพชฌงค์ก่อนๆ เป็นมูลของโพชฌงค์หลังๆ ของสหชาตธรรม และของกันและกัน.
บทว่า มูลจริยฏฺเน (เพราะอรรถว่า ประพฤติตามอรรถที่เป็นมูล) คือความประพฤติ ความเป็นไป อันเป็นมูล ชื่อว่า มูลจริยา เพราะอรรถว่า ประพฤติเป็นมูลนั้น อธิบายว่า เพราะอรรถว่า เป็นมูลแล้วจึงเป็นไป.
บทว่า มูลปริคฺคหฏฺเน (เพราะอรรถว่า กำหนดธรรมที่เป็นมูล) คือโพชฌงค์เหล่านั้น ชื่อว่า เครื่องกำหนด เพราะกำหนดเพื่อต้องการให้เกิดตั้งแต่ต้น การกำหนดธรรมอันเป็นมูลนั่นแหละ ชื่อว่า มูลปริคฺคหา เพราะอรรถว่า กำหนดธรรมที่เป็นมูลนั้น ธรรมเหล่านั้นนั่นแหละ ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า มีธรรมเป็นบริวาร ( ปริวารฏฺเฐน ) ด้วยเป็นบริวารของกันและกัน.
ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า มีธรรมบริบูรณ์ ( ปริปูรณฏฺเฐน ) ด้วยการบำเพ็ญภาวนา (ด้วยอำนาจความบริบูรณ์แห่งภาวนา).
ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่ามีธรรมแก่กล้า ( ปริปากฎฺเฐน ) ด้วยให้บรรลุความสำเร็จ (ด้วยอำนาจบรรลุความสำเร็จ) โพชฌงค์เหล่านั้นนั่นแหละ ชื่อว่า มูลปฏิสมฺภิทา (แตกฉานในธรรมอันเป็นมูล) เพราะอรรถว่า เป็นมูลด้วยปฏิสัมภิทา ๖ อย่าง และชื่อว่าปฏิสัมภิทา เพราะแตกฉานในประเภท เพราะอรรถว่า แตกฉานในธรรมอันเป็นมูล ( มูลปฏิสมฺภิทฏฺเฐน ) ชื่อว่า โพชฌงค์มูล.
บทว่า มูลปฏิสมฺภิทาปาปนฏฺเน (เพราะอรรถว่า ให้ถึงความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูล) คือเพราะอรรถว่า ให้ถึงความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูลของพระโยคาวจรผู้ขวนขวายในการเจริญโพชฌงค์.
ชื่อว่า โพชฌงค์ (เพราะอรรถว่า เจริญความชำนาญ) ด้วยความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูลนั้น ( วสีภาวฏฺเฐน ) ของพระโยคาวจรนั้นนั่นเอง ในโวหารของบุคคลเช่นนี้แม้ที่เหลือ พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า เป็นองค์แห่งผู้ตรัสรู้.
ในบทว่า มูลปฏิสมฺภิทาย วสีภาวปฺปตฺตานมฺปิ (แม้ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญในความแตกฉานในธรรมอันเป็นมูล) พึงทราบว่า โพชฌงค์เป็นผล ปาฐะว่า วสีภาวํ ปตฺตานํ (ของผู้ถึงความชำนาญ) ก็มี.
จบมูลมูลกทสกะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 527
ในทสกะ ๙ (ในหมวดสิบ ๙ หมวด) มีเหตุมูลกะ (มี เหตุ ศัพท์เป็นมูล) เป็นต้น แม้ที่เหลือพึงทราบอรรถแห่งคำทั่วไปโดยนัยนี้แล โพชฌงค์ตามที่กล่าวแล้วในคำไม่ทั่วไป ชื่อว่า เหตุ เพราะให้เกิดธรรมตามที่กล่าวแล้ว.
ชื่อว่า ปัจจัย เพราะช่วยค้ำจุน.
ชื่อว่า วิสุทฺธิ (ความหมดจด) เพราะเป็นความหมดจดแห่งตทังคะ สมุจเฉทะและปฏิปัสสัทธิ.
ชื่อว่า อนวชฺชา (ไม่มีโทษ) เพราะปราศจากโทษ.
ชื่อว่า เนกฺขมฺมํ (เนกขัมมะ) เพราะบาลีว่า สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา เนกฺขมฺมํ (กุศลธรรมแม้ทั้งหมดเป็นเนกขัมมะ).
ชื่อว่า วิมุตฺติ (หลุดพ้น) ด้วยสามารถแห่งตทังควิมุตติเป็นต้น เพราะพ้นจากกิเลสทั้งหลาย.
โพชฌงค์อันเป็นมรรคและผล ชื่อว่า อนาสวา (ไม่มีอาสวะ) เพราะปราศจากอาสวะอันเป็นขอบเขต (เป็นวิสัย).
โพชฌงค์ แม้ ๓ อย่าง ชื่อว่า วิเวก ด้วยสามารถแห่งตทังควิเวกเป็นต้น เพราะว่างเปล่าจากกิเลสทั้งหลาย.
โพชฌงค์อันเป็นวิปัสสนาและมรรค ชื่อว่า โวสฺสคฺคา (ความปล่อยวาง) เพราะปล่อยวางโดยการสละและเพราะปล่อยวางโดยการแล่นไป โพชฌงค์อันเป็นผล ชื่อว่า โวสฺสคฺคา เพราะปล่อยวางโดยการแล่นไป.
ทสกะ ๙ ท่านชี้แจงด้วยบทหนึ่งๆ มีอาทิว่า มูลฏฺํ พุชฺฌนฺติ (ตรัสรู้สภาพอันเป็นมูล) พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
ส่วนบทว่า วสีภาวปฺปตฺตานํ (ของบุคคลผู้ถึงความชำนาญ) ท่านไม่ประกอบไว้ เพราะไม่มีคำเป็นปัจจุบันกาล.
การกำหนด (สภาพความกำหนด) เป็นต้นมีอรรถดังกล่าวแล้วในอภิญเญยยนิเทศ.
จบอรรถกถามูลมูลกาทิทสกกถา
พระเถระครั้นยกสูตรที่ตนแสดงขึ้นแล้วประสงค์จะแสดงโพชฌงค์วิธี (การกำหนดโพชฌงค์) ด้วยการชี้แจงสูตรนั้น จึงกล่าวนิทานมีอาทิว่า เอกํ สมยํ (สมัยหนึ่ง) แล้วยกสูตรขึ้นแสดง อนึ่ง ในสูตรนี้ เพราะเป็นสูตรที่ตนแสดงเอง ท่านจึงไม่กล่าวว่า เอวํ เม สุตํ (ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้) อนึ่งในบทว่า อายสฺมา สารีปุตฺโต (ท่านพระสารีบุตร) นี้ ท่านกล่าวทำตนดุจคนอื่น เพื่อความฉลาดของผู้แสดง เพราะอาจารย์ทั้งหลายประกอบคำเช่นนี้ไว้มากในคันถะ (คัมภีร์) ทั้งหลายในโลก.
บทว่า ปุพฺพณฺหสมยํ (ในเวลาเช้า) คือตลอดเวลาเช้าทั้งสิ้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 528
บทนี้เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งอัจจันตสังโยคะ แม้ในสองบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า สติสมฺโพชฺฌงฺโค อิติ เจ เม อาวุโส โหติ (ดูก่อนอาวุโส หากว่าสติสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่ดังนี้) คือหากสติสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่อย่างนี้.
บทว่า อปฺปมาโณติ เม โหติ (สติสัมโพชฌงค์ของผม ก็หาประมาณมิได้) คือสติสัมโพชฌงค์ของผมหาประมาณมิได้ มีอยู่อย่างนี้.
บทว่า สุสมารทฺโธติ เม โหติ (ปรารภแล้วด้วยดี) คือสติสัมโพชฌงค์ของผมบริบูรณ์ด้วยดีอย่างนี้.
บทว่า ติฏฺนฺตํ (ตั้งอยู่ ที่ดำรงอยู่) คือตั้ง (ดำรง) อยู่ด้วยเป็นไปในนิพพานารมณ์.
บทว่า จวติ (เคลื่อนไป) คือหลีกไปจากนิพพานารมณ์ แม้ในโพชฌงค์ที่เหลือก็มีนัยนี้.
บทว่า ราชมหามตฺตสฺส (ของราชมหาอำมาตย์) คือแห่งมหาอำมาตย์ของพระราชา หรือผู้ประกอบด้วยประมาณโภคสมบัติ เพราะมีโภคสมบัติมาก.
บทว่า นานารตฺตานํ (เต็มด้วยผ้าสีต่างๆ) คือผ้าย้อมด้วยสีต่างๆ บทนี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถบริบูรณ์ อธิบายว่า ด้วยสีต่างๆ.
บทว่า ทุสฺสกรณฺฑโก (ตู้เก็บผ้า) คือเปรียบเหมือนตู้เก็บผ้า หีบเก็บผ้า.
บทว่า ทุสฺสยุคํ (ผ้าคู่) คือคู่ผ้า.
บทว่า ปารุปิตุํ (จะใช้) คือเพื่อปกปิด จะนุ่งห่ม.
ในสูตรนี้ พระเถระกล่าวถึงโพชฌงค์อันเป็นผลของพระเถระ จริงอยู่ ในกาลใด พระเถระกระทำสติสัมโพชฌงค์ให้เป็นหัวข้อ แล้วเข้าถึงผลสมาบัติ ในกาลนั้น โพชฌงค์นอกนี้ก็ตามสติสัมโพชฌงค์นั้นไป ในกาลใด เข้าถึงธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ในกาลนั้น โพชฌงค์แม้ที่เหลือก็ตามธรรมวิจยสัมโพชฌงค์นั้นไป เพราะเหตุนั้น พระเถระเมื่อจะแสดงความที่ตนมีความชำนาญในความประพฤติผลสมาบัติอย่างนั้น จึงกล่าวสูตรนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 529
อรรถกถาสุตตันตนิเทศ
ในบทว่า กถํ สติ สมฺโพชฺฌงฺโค อิติ เจ เม โหติ (ถ้าสติสัมโพชฌงค์ของผมมีอยู่ดังนี้นั้น มีอยู่อย่างไร) บทว่า โพชฺฌงฺโค ความว่า เมื่อพระโยคาวจรเข้าผลสมบัติ ทำสติสัมโพชฌงค์ให้เป็นประธาน เมื่อโพชฌงค์อื่นมีอยู่ สติสัมโพชฌงค์นี้ย่อมมีอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น หากว่า เมื่อสติสัมโพชฌงค์เป็นไปแล้วอย่างนี้ สติสัมโพชฌงค์นั้นมีอยู่อย่างไร.
บทว่า ยาวตา นิโรธุปฏฺาติ (นิโรธย่อมปรากฏเพียงใด) คือนิโรธย่อมปรากฏโดยกาลใด (โดยกาลมีประมาณเท่าใด) อธิบาย นิพพานย่อมปรากฏโดยอารมณ์ในกาลใด (โดยกาลมีประมาณเท่าใด).
บทว่า ยาวตา อจฺฉิ (เปลวไฟมีเพียงใด) คือเปลวไฟมีโดยประมาณเพียงใด.
บทว่า กถํ อปฺปมาโณ อิติ เจ โหตีติ โพชฺฌงฺโค (โพชฌงค์ในข้อว่า สติสัมโพชฌงค์ของผมก็ชื่อว่า หาประมาณมิได้นั้น มีอยู่อย่างไร) ความว่า เมื่อสติสัมโพชฌงค์แม้หาประมาณมิได้มีอยู่ สติสัมโพชฌงค์นี้ก็ย่อมหาประมาณมิได้ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น หากว่า สติสัมโพชฌงค์หาประมาณมิได้นั้น มีอยู่แก่พระโยคาวจรผู้เป็นไปแล้วอย่างไร.
บทว่า ปมาณวนฺตา (มีประมาณ) คือกิเลสทั้งหลาย ปริยุฏฺานกิเลส และสังขารอันทำให้เกิดภพใหม่ ชื่อว่า มีประมาณ ราคะเป็นต้น เพราะคำว่า ราคะ โทสะ โมหะ กระทำประมาณ ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ใด การทำประมาณแก่ผู้นั้นว่า นี้ประมาณเท่านี้ ชื่อว่า ประมาณ กิเลสเป็นต้น เป็นเครื่องผูกติดอาศัยในประมาณนั้น ชื่อว่า มีประมาณ.
บทว่า กิเลสา (กิเลสทั้งหลาย) คือเป็นอนุสัย.
บทว่า ปริยุฏฺานา (ปริยุฏฐานกิเลส) คือกิเลสที่ถึงความฟุ้งซ่าน.
บทว่า สงฺขารา โปโนพฺภวิกา (สังขารอันให้เกิดภพใหม่) คือการเกิดบ่อยๆ ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 530
ปุนัพภวะ ชื่อว่า โปนพฺภวิกา เพราะมีภพใหม่เป็นปกติ (แห่งสังขารทั้งหลาย) การมีภพใหม่นั่นแหละ ชื่อว่า โปโนพฺภวิกา (อันให้เกิดในภพใหม่) สังขาร ได้แก่ กุศลกรรมและอกุศลกรรม.
บทว่า อปฺปมาโณ (หาประมาณมิได้) ชื่อว่า หาประมาณมิได้ เพราะไม่มีประมาณอันมีประการดังกล่าวแล้ว เพื่อความวิเศษจากนั้น เพราะแม้มรรคและผลก็ไม่มีประมาณ.
บทว่า อจลฏฺเน อสงฺขตฏฺเน (เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว เพราะอรรถว่า เป็นอสังขตธรรม) นิโรธ ชื่อว่า ไม่หวั่นไหว เพราะไม่มีความดับ ชื่อว่า เป็นอสังขตะ (อสังขตธรรม) เพราะไม่มีปัจจัย จริงอยู่ ธรรมใด ทั้งไม่หวั่นไหว ทั้งเป็นอสังขตะ ธรรมนั้นย่อมเป็นธรรมปราศจากประมาณอย่างยิ่ง.
บทว่า กถํ สุสมารทฺโธ อิติ เจ โหตีติ โพชฺฌงฺโค (สติสัมโพชฌงค์ ชื่อว่า ผมปรารภแล้วด้วยดีนั้น มีอยู่อย่างไร) คือพึงประกอบโดยนัยดังกล่าวแล้วในลำดับ.
บทว่า วิสมา (ไม่เสมอ) ชื่อว่า วิสมา เพราะไม่เสมอเอง และเพราะเป็นเหตุแห่งความไม่เสมอ.
บทว่า สทฺธมฺโม (มีความเสมอเป็นธรรมดา) ชื่อว่า ธรรมเสมอ เพราะอรรถว่า เป็นธรรมสงบ เป็นธรรมประณีต ชื่อว่า สงบ เพราะไม่มีประมาณ ชื่อว่า ประณีต เพราะอรรถว่า เป็นธรรมสูงสุดกว่าธรรมทั้งปวง เพราะพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ที่เป็นสังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเพียงใด เรากล่าววิราคะว่า เป็นธรรมเลิศกว่าธรรมทั้งหลายเหล่านั้น.
สติสัมโพชฌงค์อันปรารภแล้วในธรรมเสมอด้วยดีดังกล่าวแล้วว่า มีความเสมอเป็นธรรมดานั้น ชื่อว่า สุสมารทฺโธ (ปรารภแล้วด้วยดี).
บทว่า อาวชฺชิตตฺตา (เพราะความนึกถึง) ท่านกล่าวหมายถึงกาลอันเป็นไปแล้วด้วยผลสมบัติ ท่านอธิบายไว้ว่า เพราะมโนทวาราวัชชนะเกิดขึ้นแล้วในนิพพาน กล่าวคือ อนุบปาทาทิ (*ไม่มีการเกิดอีก) นิพพานอันไม่มีความเกิดเป็นต้น.
บทว่า ติฏฺติ (ตั้งอยู่ ย่อมดำรงอยู่) คือเป็นไปอยู่.
บทว่า อุปฺปาทํ (ความเกิด) เป็นต้น มีอรรถดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
ในวาระแม้ที่เป็นโพชฌงค์มูลกะที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
จบอรรถกถาสุตตนิเทศ
จบอรรถกถาโพชฌงคกถา