ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๐๕ * * 
~ ถ้ารู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเข้าใจถูกต้อง จะละเลยเพิกเฉยต่อการที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องเพื่อดำรงพระพุทธศาสนาหรือไม่? ถ้าเกรงใจไม่กล้าพูดไม่กล้าแสดงความถูกต้อง คนอื่นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แล้วนั่นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?
~ การฟังพระธรรม มีพระธรรม คือ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์เหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ตรงกันเลย คำไหนที่ตรัสไว้แล้ว คำนั้นก็ยังดำรงอยู่ เป็นคำของพระองค์ ไม่ใช่คำของคนอื่น
~ พระธรรมทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดขึ้นๆ จุดประสงค์ก็เพื่อให้ เห็นชัดเจนในความเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) ของสภาพธรรมแต่ละอย่างในวันหนึ่งๆ
~ ฟังพระธรรม ต้องตั้งต้น พื้นฐานที่จะต้องเข้าใจก่อน ก็คือ ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าจะพูดถึงสภาพธรรมใดๆ ก็ตาม เมตตา (ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน) เป็นธรรม กรุณา (เมื่อเห็นผู้อื่นประสบทุกข์ ก็ช่วยให้พ้นจากความทุกข์) เป็นธรรม อกุศล เป็นธรรม โลภะ โทสะ โมหะเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็สามารถเข้าใจแต่ละคำที่มีในพระไตรปิฎกถูกต้องชัดเจนขึ้น
~ ความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งของพระธรรม ที่จากการที่ไม่เคยฟังแล้วก็ได้ฟัง จากอกุศลมากๆ ที่เคยมี ความเข้าใจธรรม ค่อยๆ ละคลายอกุศลตามกำลังของปัญญา
~ จะว่าโลภะ (ความติดข้อง) ดี เป็นไปไม่ได้เลย สำหรับคนที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นที่เข้าใจอยู่ว่า ทุกคนในโลกนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ถ้าปราศจากโลภะ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม โดยลักษณะสภาพแท้จริงของโลภะ เป็นอธรรม คือ ไม่ใช่ธรรมฝ่ายดี โดยส่วนเดียวเท่านั้น
~ ยากที่จะเป็นผู้ตรง เพราะว่าโลภะ เป็นอกุศลธรรม จึงต้องเอียง ไม่ตรง ในขณะที่โลภะเกิด สังเกตดูได้ คนที่เป็นที่รักทำผิด ไม่เป็นไร ช่วยเหลือกัน แก้ไขได้ แต่ว่าเวลาคนที่ชัง ไม่ชอบ ทำผิด ไม่ได้แล้ว ใช่ไหม? ไม่แม้แต่ที่จะอภัยให้ เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมทั้งหลายไม่ทำให้เป็นผู้ที่ตรง
~ สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของหิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ย่อมกล่าวคุณของหิริโอตตัปปะ ซึ่งเป็นธรรมที่ถอยกลับจากอกุศล ขณะใดที่ไม่รังเกียจ ไม่กลัว ก็ยังคงเป็นไปกับอกุศลอยู่ตลอดเวลา แต่ขณะใดที่ระลึกได้ รังเกียจและกลัว ขณะนั้นจะถอยกลับจากอกุศล เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องการพิจารณายาวนาน แต่ขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้น หิริโอตตัปปะกระทำกิจของหิริโอตตัปปะ คือ ถอยกลับจากอกุศล
~ จะเห็นได้จริงๆ ว่า ไม่ได้คาดหวังเลยว่า สิ่งนี้สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเป็นไป สิ่งใดที่ไม่เคยคิดไว้ย่อมมีได้ ก็มี ทั้งที่เป็นกุศลวิบาก ผลของกุศล และที่เป็นอกุศลวิบาก ผลของอกุศล และ สิ่งใดที่เคยคิดไว้ กลับเสื่อมสลายไป ก็มี สิ่งที่หวังไว้แน่นอนกลับเสื่อมสลายไปตามเหตุ คือ กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมูล คือ เหตุ แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลมูล หรือ อกุศลมูล
~ ถ้าสามารถจะทำกุศลได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่า ชีวิตแต่ละภพแต่ละชาติสั้นมาก ไม่ทราบว่าชาติหน้าจะมาถึงเร็วหรือช้า จะเกิดที่ไหน เป็นบุคคลใด และจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เจริญกุศลอีกไหม ดังนั้น เมื่อมี โอกาสที่จะเจริญกุศลได้ก็ควรกระทำโดยเร็วหรือโดยทันที
~ เรื่องของอกุศลจิต มีมาก และวันหนึ่งๆ ถ้ากุศลจิตไม่เกิดเลย วันนั้นรู้ตัวหรือเปล่าว่า มืดมิดด้วยอวิชชาและด้วยอกุศล
~ ขณะที่ไม่อภัยให้บุคคลอื่น ขณะนั้นพิจารณาดูว่า เพราะรักตัวเองหรือเปล่า จึงทำให้ไม่สามารถอภัยในความผิด หรือในความบกพร่องของคนอื่นได้ ซึ่งลึกลงไปจริงๆ เป็นเพราะความรักตัว ความยึดมั่นในตัวตนหรือเปล่า การสละความเห็นแก่ตัวขั้นอภัยทาน ทำให้สละความคิดร้าย สละความ แค้นเคือง สละความผูกโกรธ สละความไม่หวังดี สละความไม่เป็นมิตร สละความ ไม่เกื้อกูล สละความไม่มีน้ำใจต่อคนอื่น
~ ทุกคนต้องเดินทางชีวิตต่อไปอีกยาวนานในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล ซึ่งชีวิตข้างหน้าจะสุขทุกข์อย่างไร ย่อมเป็นไปตามกรรม และถ้าทุกคนมีความมั่นใจจริงๆ มีความเข้าใจจริงๆ ในเรื่องของกรรม ย่อมไม่ประมาทในการเจริญกุศล
~ ต้องเข้าใจจุดประสงค์และรู้ว่า ขณะใดที่จิตปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นจึงเป็นกุศล แม้แต่การที่จะรักษาศีล ก็ต้องรู้ว่ารักษาเพื่ออะไร ถ้าเพื่อผล หรืออานิสงส์ของศีล ก็ยังไม่บริสุทธิ์ เพราะว่ายังหวังผลที่เป็นสุข ไม่ใช่เพื่อการขัดเกลากิเลส
~ สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะฟังเรื่องของความตายโดยลักษณะต่างๆ และ รู้ว่า ความตายเป็นของแน่ ควรที่สติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏบ่อยๆ เนืองๆ แต่อกุศลที่ได้สะสมมามากก็ทำให้เป็นผู้หลงลืมสติอยู่เสมอ และมีความยินดีพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายเป็นประจำ และ ยังมีโทสะ ความขุ่นเคืองใจ เวลากระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยที่ไม่สามารถให้กิเลสหมดไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ฟัง ทั้งๆ ที่รู้ เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องฟัง และอบรมเจริญปัญญา และเห็นโทษของอกุศลจริงๆ
~ บัณฑิตต้องเป็นผู้ที่มีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกคือเป็นผู้รู้ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ขณะนี้หนทางเป็นบัณฑิต คือ การที่ได้ฟังพระธรรมแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจคำที่ได้ยินได้ฟัง ขณะที่เข้าใจเป็นบัณฑิตแน่นอน แต่ยังไม่ถึงระดับขั้นของผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลเพราะเหตุว่า เป็นแต่เพียงการเริ่มต้นที่จะมีความเห็นถูกจากการเข้าใจโดยการฟังเท่านั้น
~ เป็นคนดี คือ เห็นโทษของอกุศล แล้วทำความดีด้วย ไม่ประมาท แล้วก็ฟังพระธรรมด้วย ถึงจะไปรอดจากภัยคือสังสารวัฏฏ์
~ คำใด ที่ไม่ได้ทำให้เข้าใจถูก คำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดที่ทำให้เข้าใจผิด ยิ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน
~ เริ่มฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะได้รู้จริงๆ ว่า นี่แหละ ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย คำของคนอื่นไม่เหมือนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเขาไม่ได้ตรัสรู้
~ ไม่มีใครอยากไม่ดี แต่ไม่ดีเพราะไม่รู้ อันนี้แน่นอนที่สุด ถ้าปัญญาเกิด ไม่มีทางเลยที่จะน้อมไปทางฝ่ายอกุศล แต่เพราะไม่มีปัญญา เพราะไม่รู้ จึงเป็นอกุศล ด้วยเหตุนี้ คนที่ไม่รู้ คนที่มีอกุศล น่าสงสารไหม หรือจะโกรธเขาดี? ต้องตรง น่าสงสารไม่ใช่เพียงคำพูด สงสารเห็นใจแล้วก็เข้าใจด้วย แล้วก็ถ้าสามารถจะช่วยคนนั้นให้เป็นคนดีสักนิดหนึ่งพร้อมที่จะทำทันที ไม่รีรอเลย
~ ความดีเป็นสิ่งที่หายากมาก โอกาสที่จะเกิดก็ยาก เกิดก็น้อยแล้วก็หมดไปอีก เพราะฉะนั้น ถ้าใครสามารถที่จะมีความดีแม้สักหนึ่งขณะหรือว่าสั้นแสนสั้นก็ตามแต่ ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
~ อกุศลเป็นธรรมที่น่ารังเกียจ ที่เรามีไหม? เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ว่าที่ไหน อยู่ที่ไหน ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่าธรรมที่น่ารังเกียจ คือ ธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด
~ ชีวิตสั้นมาก ถ้าชีวิตสั้นอย่างนี้ แล้วชีวิตควรจะเป็นอย่างไร? จะมีการเบียดเบียนทำร้ายกันไหม? จะทำทุจริตกรรมต่างๆ ไหม? เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจ ขณะนั้นเป็นปัญญาหรือเปล่า? (เป็นปัญญา)
~ ตายเป็นของธรรมดา เกิดก็เป็นของธรรมดา แต่จะเกิดเป็นอะไร? แม้เดี๋ยวนี้ ยังไม่ได้ตาย ยังเป็นอยู่ จะเป็นอย่างไร เพราะอย่างไรต้องตายแล้วก็ต้องจากโลกนี้ไปแน่ มัวแต่คิดเรื่องอื่น ไม่คิดว่าจะตาย ถ้าคิดว่าจะตาย จะหยุดเรื่องอื่น ใช่ไหม? ทำความดี เพราะจะตาย จะไปทำเรื่องอื่นทำไม เสียเวลา
~ ภัยจากไวรัสโควิด กำลังระบาด เป็นกันทุกคนหรือเปล่า? ไม่เป็นทุกคน ทำไมเป็น ทำไมไม่เป็น? คนติดเชื้อก็เป็น แล้วทำไมติด? มีกรรมเป็นปัจจัยหลัก แล้วก็การที่ไม่มีการระแวดระวังหลายๆ อย่างหลายปัจจัย เพราะฉะนั้น จะพ้นภัยได้อย่างไร? ทั้งหมดอยู่ที่ความเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ไม่มีทางเลย ถ้าจะพ้นภัยจริงๆ ทั้งหมด ก็คือ ไม่ต้องเกิด หนทาง มี จากผู้ที่ไม่เกิดแล้ว คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๐๔


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาครับ
ขอกราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ท่านอาจารย์ค่ะ
อนุโมทนายิ่งครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ