การแตกฉานในเหตุ
โดย เมตตา  27 พ.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50037

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 12-13

ก็ปฏิสัมภิทามี ๔ คือ
๑. อรรถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ,
๒. ธรรมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม,
๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ,
๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ.

ทางคืออุบาย เป็นเครื่องบรรลุปฏิสัมภิทาเหล่านั้น ฉะนั้นจึงชื่อว่า ปฏิสัมภิทามรรค, มีคำอธิบายท่านกล่าวไว้ว่า เป็นเหตุแห่งการได้เฉพาะซึ่งปฏิสัมภิทา. หากจะมีปุจฉาว่า ทางนี้เป็นทางแห่งปฏิสัมภิทาได้ เพราะเหตุไร? ก็พึงมีวิสัชนาว่า เพราะเป็นเทสนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโดยประเภท เป็นเทสนาอันนำมาซึ่งปฏิสัมภิทาญาณ

จริงอยู่ ธรรมทั้งหลายมีประเภทต่างๆ เทสนาก็มีประเภทต่างๆ ย่อมให้เกิดประเภทแห่งปฏิสัมภิทาญาณ แก่พระอริยบุคคลทั้งหลายผู้สดับฟัง และเป็นปัจจัยแก่การแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณแก่ปุถุชนต่อไปในอนาคต ก็ท่านกล่าวคำนี้ไว้ว่า เทสนาโดยประเภทย่อมนำมา

ซึ่งปฏิสัมภิทาญาณเป็นเครื่องทำลายฆนสัญญาเสียได้ ดังนี้. ก็เทสนาประเภทต่างๆ นี้มีอยู่, เพราะเหตุนั้น เทสนานั้นจึงเป็นเทสนาให้สำเร็จความเป็นบรรดาแห่งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตสฺโส เป็นบทกำหนดจำนวน.

บทว่า ปฏิสมฺภิทา ได้แก่ ปัญญาเป็นเครื่องแตกฉาน. เป็นปัญญาเครื่องแตกฉานของญาณเท่านั้น หาใช่เป็นความแตกฉานของใครๆ อื่นไม่ เพราะท่านได้กล่าวไว้ว่า ความรู้ในอรรถ ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา, ความรู้ในธรรมชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้ในโวหารแห่งภาษาอันกล่าวถึงอรรถและธรรมะ ชื่อว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา, ความรู้ในญาณทั้งหลาย (๑) ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทา. เพราะฉะนั้น คำว่า จตสฺโส ปฏิสมุภิทา จึงมีความว่า ประเภทแห่งญาณ ๔ ประการ.

ญาณอันถึงความแตกฉานในอรรถ สามารถทำการกำหนดสัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งผล ชื่อว่า อรรถปฏิสัมภิทา .

ญาณอันถึงความแตกฉานในธรรม สามารถทำการกำหนด สัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งเหตุ ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา .


อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า การรู้ อรรถะ นี่ก็น่าที่จะเพียงพอแล้ว เพราะไม่ใช่ง่ายแล้วที่จะรู้อรรถะ คือภาวะลักษณะของสภาพธรรมต่างๆ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงแสดง ธรรมปฏิสัมภิทา ครับ ก็คือ การแตกฉานในเหตุ ครับท่านอาจารย์

กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า การรู้ในลักษณะสภาพธรรมซึ่งเป็นอรรถะนะครับ แม้ยังไม่ต้องถึงปฏิสัมภิทาหรอกนะครับ แต่การรู้ในอรรถะ คือลักษณะของสภาพธรรมที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิดขึ้นที่เป็นสังขารธรรมนี่ครับ ก็เป็นการรู้อรรถะ แล้วการรู้ธรรม ทำไมพระองค์ถึงต้องแสดงถึงการรู้ธรรมที่เป็นเหตุละเอียดขึ้นไปอีกครับ กราบเท้าท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ไม่มีใครสงสัยว่า กำลังเห็น ใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ไม่มีใครสงสัยว่ากำลังเห็น

ท่านอาจารย์: และพอพูดถึงคำว่า เห็น ก็รู้ว่าหมายถึงอันนี้แหละ ที่มีอาการลักษณะอย่างนี้แหละ ไม่ได้หมายถึงธรรมอื่น ภาวะความเป็นอื่น ถูกต้องไหม?

อ.อรรณพ: ถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: แล้วสิ่งนี้มีแล้ว เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

อ.อรรณพ: ก็ต้องมีเหตุปัจจัย

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น รู้แค่นี้พอไหมว่า นี่มีจริงๆ มีลักษณะที่ต่างๆ กัน แค่นี้พอไหม?

อ.อรรณพ: ไม่พอครับ

ท่านอาจารย์: แต่ต้องรู้ถึงเหตุว่า เพราะอะไรจึงเกิดเป็นอย่างนี้ได้

อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ก็แต่เหตุที่จะทำให้ธรรมใดธรรมหนึ่งเกิดขึ้น เหตุนั้นเขาก็ต้องมีลักษณะมีสภาวะ ก็เหมือนกับว่าก็เข้าใจ อรรถะ ของธรรมที่เมื่อลึกขึ้น ก็คือเป็นเหตุให้อีกธรรมหนึ่งเกิดขึ้น

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พอพูดถึงเหตุ เข้าใจไหมว่า หมายความถึงอะไร? เหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนั้นเกิดแล้ว เกิดโดยไม่มีเหตุให้เกิดหรือ?

อ.อรรณพ: มีเหตุให้เกิด และเหตุที่ให้สิ่งนั้นเกิดก็เป็นธรรมที่มีลักษณะ มีสภาวะ มีอรรถะด้วย

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงสิ่งที่มีที่เกิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่า อะไรทำให้เกิดขึ้น จะเข้าใจถูกไหมว่าสิ่งนั้นเพียงแค่มีตามเหตุที่ให้เป็นสิ่งนั้น

อ.อรรณพ: ครับ ถ้าอย่างนั้น ถ้ากล่าวถึงปัญญาที่คมชัด ที่เห็นชัด เห็นแจ้งที่เป็นการรู้ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้ธรรมใดเกิดขึ้น ก็จะต้องเป็นปัญญาที่ต้องละเอียดขึ้นอีกเพิ่มขึ้นอีก ลึกขึ้นอีกอย่างไรครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็น เกิดจากอะไร จึงมีเห็น?

อ.อรรณพ: ต้องมีสิ่งที่กระทบตา แล้วก็มีตาด้วยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็น เกิดจากอะไร จึงมีเห็น?

อ.อรรณพ: ต้องมีสิ่งที่กระทบตา แล้วก็มีตาด้วยครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีตรัสรู้ถึง เหตุ ที่ทำให้เกิด ใครจะรู้ได้ไหมว่า เพียงแค่มีเหตุทำให้เกิด อย่างอื่นไม่สามารถจะทำให้เกิดได้ แต่เหตุเฉพาะ ที่จะให้เกิดสิ่งนั้น จึงปรากฏเกิดขึ้นเป็นสิ่งนั้น

อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น เบื้องต้นก็คือ รู้อรรถะ เพราะฉะนั้น หมายความว่า การรู้ลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏ ปรากฏๆ ๆ นี่ก็จะละเอียดลึกซึ้งขึ้น จนรู้ว่า สภาพธรรมที่ปรากฏนี่ ก็เป็นเหตุให้สภาพธรรมธรรมที่กำลังเกิดนี่ ก็ต้องอาศัยเหตุที่เป็นสภาพธรรมที่จะต้องมีอรรถะด้วย

ท่านอาจารย์: จึงละความเป็นเราโดยประการทั้งปวงว่า เราไม่ได้ทำ พอเกิดแล้วเข้าใจว่า เป็นเรา ก็ต้องรู้ความจริงว่า ดับแล้ว จะเป็นเราได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น ก็อาศัยเหตุจึงเกิดมีขึ้น ยับยั้งไม่ได้ เมื่อมีเหตุ ผลก็ต้องมี

อ.อรรณพ: กราบท่านอาจารย์ ระลึกถึงคำท่านอาจารย์กล่าวตามพระธรรมว่า เห็น มีจริงไหม? ทุกคนที่ไตร่ตรองตามเหตุตามผล บอกมีจริง ท่านอาจารย์บอกว่า ถ้าไม่เกิด จะมีไหม? ถัาไม่มีปัจจัยให้เกิดขึ้นจะมีไหม?

นี่ก็แสดงถึงความเป็นธรรมนะครับ อรรถะของเห็น ก็คือมีจริงๆ และเห็นก็เกิดขึ้นทำหน้าที่เห็นจริงๆ แล้วก็ต้องมีเหตุที่เกิด ไม่มีเหตุเห็นเกิดไม่ได้ แล้วท่านอาจารย์ก็กล่าวที่เขมร ผมว่า ประโยคนี้ผมไม่ค่อยได้ฟังบ่อยๆ แต่ท่านอาจารย์ก็กล่าวโดยความหมายเช่นเดียวกัน

แต่ท่านอาจารย์ก็บอกว่า ถ้าไม่มี เห็น ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นเห็น สิ่งที่กระทบตาก็ไม่ปรากฏ แต่ปกติเราจะกล่าวว่า เพราะมีสิ่งที่กระทบตา จึงมีเห็น อันนี้ก็ถูก แต่ท่านอาจารย์ว่า ถ้าไม่มีการเห็น สิ่งที่กระทบตาก็ไม่ปรากฏ ก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ถ้าเราฟังไปแล้วก็ดูเหมือนว่าไม่น่าสนใจอะไรเลย แต่ถ้าค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทำไมละเอียดลึกซึ้งอย่างนี้ครับ

วันนี้ได้กราบสนทนากับท่านอาจารย์ในเรื่องปฏิสัมภิทา แม้ว่า ยังไม่ถึง แต่ว่า การที่จะรู้ ไม่ต้องแตกฉานนะ เอาแค่รู้อรรถะ รู้ธรรม นี่ก็ได้ประโยชน์กันเพิ่มขึ้นครับ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 29 พ.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 30 พ.ค. 2568

ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา