[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 588
ยุคนัทธวรรค
๗. ธรรมจักรกถา
ว่าด้วยธรรมจักร หน้า 588
อรรถกถาธรรมจักรกถา
อรรถกถาสัจจวาร หน้า 595
อรรถกถาสติปัฏฐานวารเป็นต้น หน้า 598
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 588
ยุคนัทธวรรค ธรรมจักกกถา
ว่าด้วยธรรมจักร
[๖๑๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี ฯ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านพระโกณฑัญญะ จึงมีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ ดังนี้.
จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้นเพราะอรรถว่า สว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ความเห็นเป็นอรรถ ญาณเป็นธรรม ความรู้เป็นอรรถ ปัญญาเป็นธรรม ความรู้ทั่ว (ความทราบชัด) เป็นอรรถ วิชชาเป็นธรรม ความแทงตลอดเป็นอรรถ แสงสว่างเป็นธรรม ความสว่างไสวเป็นอรรถ ธรรม ๕ ประการ อรรถ ๕ ประการนี้ เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ เป็นที่ตั้งแห่งสัจจะ มีสัจจะเป็นอารมณ์ มีสัจจะเป็นโคจร สงเคราะห์เข้าในสัจจะ นับเนื่องในสัจจะ เข้ามาประชุมในสัจจะ ตั้งอยู่ในสัจจะ ประดิษฐานอยู่ในสัจจะ.
[๖๑๕] ชื่อว่า ธรรมจักร ในคำว่า ธมฺมจกฺกํ (ธรรมจักร) นี้ เพราะอรรถว่ากระไร.
ชื่อว่า ธรรมจักร เพราะอรรถว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป ทรงให้จักรและธรรมเป็นไป ทรงให้จักรเป็นไปโดยธรรม ทรงให้จักรเป็นไปโดยการประพฤติเป็นธรรม ทรงดำรงอยู่ในธรรมให้จักรเป็นไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 589
ทรงประดิษฐานอยู่ในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงให้ประชาชนประดิษฐานอยู่ในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงบรรลุถึงความชำนาญในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงยังประชาชนให้บรรลุถึงความชำนาญในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงบรรลุถึงความยอดเยี่ยมในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงให้ประชาชนบรรลุถึงความยอดเยี่ยมในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงบรรลุถึงความเเกล้วกล้าในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงให้ประชาชนบรรลุถึงความแกล้วกล้าในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงสักการะธรรมให้จักรเป็นไป ทรงเคารพธรรมให้จักรเป็นไป ทรงนับถือธรรมให้จักรเป็นไป ทรงบูชาธรรมให้จักรเป็นไป ทรงนอบน้อมธรรมให้จักรเป็นไป ทรงมีธรรมเป็นธงให้จักรเป็นไป ทรงมีธรรมเป็นยอดให้จักรเป็นไป ทรงมีธรรมเป็นใหญ่ให้จักรเป็นไป ชื่อว่า ธรรมจักร เพราะอรรถว่า ก็ธรรมจักรนั้นแล สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ให้เป็นไปไม่ได้ ชื่อว่า ธรรมจักร เพราะอรรถว่า สัทธินทรีย์เป็นธรรม ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป ฯ ปัญญินทรีย์เป็นธรรม ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สัทธาพละเป็นธรรม ฯ ปัญญาพละเป็นธรรม ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สติสัมโพชฌงค์เป็นธรรม ฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นธรรม ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สัมมาทิฏฐิเป็นธรรม ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป ฯ สัมมาสมาธิเป็นธรรม ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป อินทรีย์เป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป พละเป็นธรรม เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป โพชฌงค์เป็นธรรม เพราะอรรถว่า นําออก ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป มรรคเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นเหตุ ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สติปัฏฐานเป็นธรรม เพราะอรรถว่า ตั้งมั่น (ปรากฏ) ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สัมมัปปธานเป็นธรรม เพราะอรรถว่า ตั้งไว้ ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป อิทธิบาทเป็นธรรม เพราะอรรถว่า ให้สำเร็จ ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สัจจะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นของแท้ ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สมถะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป วิปัสสนาเป็นธรรม เพราะอรรถว่า พิจารณาเห็น ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สมถวิปัสสนาเป็นธรรม เพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป ธรรมที่เป็นคู่เป็นธรรม เพราะอรรถว่า ไม่ล่วงเกินกัน ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สีลวิสุทธิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 590
เป็นธรรม เพราะอรรถว่า สำรวม ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป จิตตวิสุทธิเป็นธรรม เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป ทิฏฐิวิสุทธิเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เห็น ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป วิโมกข์เป็นธรรม เพราะอรรถว่า พ้น ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป วิชชาเป็นธรรม เพราะอรรถว่า แทงตลอด ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป วิมุตติเป็นธรรม เพราะอรรถว่า สละ ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป ญาณในความสิ้นไปในธรรม เพราะอรรถว่า ตัดขาด ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป ญาณในความไม่เกิดขึ้นเป็นธรรม เพราะอรรถว่า ระงับ ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป ฉันทะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นมูล ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป มนสิการเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นสมุฏฐาน ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป ผัสสะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นที่รวม ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป เวทนาเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นที่ประชุม ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สมาธิเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นประธาน ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป สติเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป ปัญญาเป็นธรรม เพราะอรรถว่า ยิ่งกว่าธรรมนั้นๆ ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป วิมุตติเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นแก่นสาร ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นที่สุด ทรงให้ธรรมนั้นเป็นไป.
[๖๑๖] จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้ ฯ เรากำหนดรู้แล้ว คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร.
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า เห็น ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า สว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ความเห็นเป็นอรรถ ฯ แสงสว่างเป็นธรรม ความสว่างไสวเป็นอรรถ ธรรม ๕ ประการนี้ อรรถ ๕ ประการนี้ เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ ฯ ประดิษฐานอยู่ในสัจจะ.
ชื่อว่า ธรรมจักร ในคำว่า ธมฺมจกฺกํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 591
ชื่อว่า ธรรมจักร เพราะอรรถว่า พระผู้มีพระภาคทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป ฯ นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นที่สุด ทรงให้ธรรมนั้นๆ เป็นไป.
[๖๑๗] จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละ ฯ เราละได้แล้ว คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร.
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า เห็น ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า สว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ความเห็นเป็นอรรถ ฯ แสงสว่างเป็นธรรม ความสว่างไสวเป็นอรรถ ธรรม ๕ ประการนี้ อรรถ ๕ ประการนี้ เป็นที่ตั้งแห่งสมุทัย เป็นที่ตั้งแห่งสัจจะ ฯ เป็นที่ตั้งแห่งนิโรธ เป็นที่ตั้งแห่งสัจจะ ฯ เป็นที่ตั้งแห่งมรรค เป็นที่ตั้งแห่งสัจจะ มีสัจจะเป็นอารมณ์ ฯ ประดิษฐานอยู่ในสัจจะ.
ชื่อว่า ธรรมจักร ในคำว่า ธมฺมจกฺกํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร.
ชื่อว่า ธรรมจักร เพราะอรรถว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป ฯ นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นที่สุด ทรงให้ธรรมนั้นๆ เป็นไป.
[๖๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า การพิจารณาเห็นกายในกายนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นกายในกายนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 592
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายนี้ ฯ การพิจารณาเห็นจิตในจิตนี้ ฯ การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายนี้ ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว.
จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นกายในกายนี้ ฯ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นกายในกายนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร ฯ คำว่า แสงสว่าง เกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร.
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า เห็น ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า สว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ความเห็นเป็นอรรถ ฯ แสงสว่างเป็นธรรม ความสว่างไสวเป็นอรรถ ธรรม ๕ ประการ อรรถ ๕ ประการนี้ เป็นที่ตั้งแห่งกาย เป็นที่ตั้งแห่งสติปัฏฐาน ฯ เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา เป็นที่ตั้งแห่งสติปัฏฐาน ฯ เป็นที่ตั้งแห่งจิต เป็นที่ตั้งแห่งสติปัฏฐาน ฯ เป็นที่ตั้งแห่งธรรม เป็นที่ตั้งแห่งสติปัฏฐาน มีสติปัฏฐานเป็นอารมณ์ ฯ ประดิษฐานอยู่ในสติปัฏฐาน.
ชื่อว่า ธรรมจักร ในคำว่า ธมฺมจกฺกํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร.
ชื่อว่า ธรรมจักร เพราะอรรถว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป ฯ นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นที่สุด ทรงให้ธรรมนั้นๆ เป็นไป.
[๖๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขารนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 593
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขารนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิริยะและปธานสังขารนี้ ฯ อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยจิตตะและปธานสังขารนี้ ฯ อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขารนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขารนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว.
จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขารนี้ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขารนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร.
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า เห็น ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า สว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ความเห็นเป็นอรรถ ฯ แสงสว่างเป็นธรรม ความสว่างไสวเป็นอรรถ ธรรม ๕ ประการ อรรถ ๕ ประการ เป็นที่ตั้งแห่งฉันทะ เป็นที่ตั้งแห่งอิทธิบาท มีอิทธิบาทเป็นอารมณ์ ฯ ประดิษฐานอยู่ในอิทธิบาท.
ชื่อว่าธรรมจักร ในคำว่า ธมฺมกฺกํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 594
ชื่อว่า ธรรมจักร เพราะอรรถว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป ฯ นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นที่สุด ทรงให้ธรรมนั้นๆ เป็นไป.
จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิริยะและปธานสังขารนี้ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิริยะและปธานสังขารนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว จักษุเกิดขึ้นเพราะอรรถว่ากระไร ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร.
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า เห็น ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า สว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ความเห็นเป็นอรรถ ฯ แสงสว่างเป็นธรรม ความสว่างไสวเป็นอรรถ ธรรม ๕ ประการ อรรถ ๕ ประการนี้ เป็นที่ตั้งแห่งวิริยะ เป็นที่ตั้งแห่งอิทธิบาท ฯ เป็นที่ตั้งแห่งจิตตะ เป็นที่ตั้งแห่งอิทธิบาท ฯ เป็นที่ตั้งแห่งวิมังสา เป็นที่ตั้งแห่งอิทธิบาท มีอิทธิบาทเป็นอารมณ์ มีอิทธิบาทเป็นโคจร สงเคราะห์เข้าในอิทธิบาท นับเนื่องในอิทธิบาท เข้ามาประชุมในอิทธิบาท ตั้งอยู่ในอิทธิบาท ประดิษฐานอยู่ในอิทธิบาท.
ชื่อว่า ธรรมจักร ในคำว่า ธมฺมจกฺกํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร.
ชื่อว่า ธรรมจักร เพราะอรรถว่า พระผู้มีพระภาคทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป ฯ นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นที่สุด ทรงให้ธรรมนั้นๆ เป็นไป.
จบธรรมจักรกถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 595
ธรรมจักรกถา
อรรถกถาสัจจวาร
จะพรรณนาตามลําดับความที่ยังมิได้เคยพรรณนาไว้แห่งธรรมจักรกถา อันพระสารีบุตรเถระกล่าวกระทำพระธรรมจักกัปวัตตนสูตรให้เป็นเบื้องต้นอีก ต่อไป.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขวตฺถุกา (เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์) คือเพราะมีทุกข์เป็นที่ตั้งด้วยอำนาจแห่งการตรัสรู้อย่างเดียว พระสารีบุตรเถระยังทุกข์นั้นให้วิเศษออกไป จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สจฺจวตฺถุกา (เป็นที่ตั้งแห่งสัจจะ).
ชื่อว่า สจฺจารมฺมณา (มีสัจจะเป็นอารมณ์) เพราะมีสัจจะเป็นอารมณ์ เป็นตัวอุปถัมภ์.
ชื่อว่า สจฺจโคจรา (มีสัจจะเป็นโคจร) เพราะมีสัจจะเป็นโคจร เป็นวิสัย.
บทว่า สจฺจสงฺคหิตา (สงเคราะห์เข้าในสัจจะ) คือสงเคราะห์ด้วยมรรคสัจ.
บทว่า สจฺจปริยาปนฺนา (นับเนื่องในสัจจะ) คือนับเนื่องในมรรคสัจ.
บทว่า สจฺเจ สมุปาคตา (เข้ามาประชุมในสัจจะ) คือเกิดร่วมกันในทุกขสัจ ด้วยกำหนดรู้ทุกข์.
บทว่า ิตา ปติฏฺิตา (ตั้งอยู่ ประดิษฐานอยู่) คือตั้งอยู่ในสัจจะ ประดิษฐานอยู่ในสัจจะนั้นนั่นแหละเหมือนกัน.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะชี้แจงพระธรรมจักรที่กล่าวว่า ปวตฺติเต จ ภควตา ธมฺมจกฺเก (เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว) ดังนี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ธมฺมจกฺกํ.
ในบทว่า ธมฺมจกฺกํ (ธรรมจักร) นั้น ธรรมจักรมี ๒ อย่าง คือปฏิเวธธรรมจักร และเทศนาธรรมจักร ปฏิเวธธรรมจักรเกิดขึ้น ณ โพธิบัลลังก์ เทศนาธรรมจักรเกิดขึ้น ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 596
บทว่า ธมฺมญฺจ ปวตฺเตติ จกฺกญฺจ (พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป) ท่านกล่าวถึงปฏิเวธธรรมจักร.
บทว่า จกฺกญฺจ ปวตฺเตติ ธมฺมญฺจ (ทรงให้จักรและธรรมเป็นไป) ท่านกล่าวถึงเทศนาธรรมจักร อย่างไร เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือโพธิบัลลังก์ ยังธรรมมีประเภทเป็นต้นว่า อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และองค์แห่งมรรคให้เป็นไปในขณะแห่งมรรค ธรรมนั้นแหละ ชื่อว่า จักร เพราะเป็นไปเพื่อฆ่าศัตรู คือกิเลส ดุจจักรสำหรับประหาร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังจักร คือธรรม ให้เป็นไป ชื่อว่า ทรงยังจักรให้เป็นไป ด้วยบทนั้น ท่านกล่าวเป็นกัมมธารยสมาสว่า จักร คือธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงจักร คือเทศนา ให้เป็นไป เพราะเป็นไปเพื่อฆ่าศัตรู คือกิเลส ในสันดานของเวไนยสัตว์ ในขณะแสดงธรรมเช่นกับจักรสำหรับใช้ประหาร และยังจักร คือธรรม อันมีประเภทเป็นต้นว่า อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ องค์แห่งมรรคให้เป็นไป ในสันดานของเวไนยสัตว์ ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงทวันทวสมาสว่า ธรรมด้วย จักรด้วย ชื่อว่า ธรรมและจักร ก็เพราะเมื่อความเป็นไปยังมีอยู่ ก็ชื่อว่า ยังเป็นไปอยู่ ฉะนั้น แม้ในที่ทั้งปวง ท่านกล่าวว่า ปวตฺเตติ (ให้เป็นไป) แต่พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า จกฺกํ (จักร) เพราะอรรถว่า เป็นไป.
บทมีอาทิว่า ธมฺเมน ปวตฺเตตีติ ธมฺมจกฺกํ (ชื่อว่า ธรรมจักรเพราะ) ทรงให้จักรเป็นไปโดยธรรม พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายถึงเทศนาธรรมจักรนั่นเอง.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ธมฺเมน ปวตฺเตติ (ทรงให้เป็นไปโดยธรรม) ท่านกล่าวว่า ธรรมจักร เพราะจักรเป็นไปแล้วโดยธรรมตามสภาวะเป็นจริง.
บทว่า ธมฺมจริยา ปวตฺเตติ (ทรงให้จักรเป็นไปโดยประพฤติเป็นธรรม) ท่านกล่าวว่า ธรรมจักร เพราะจักรเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ธรรมในสันดานของเวไนยสัตว์.
ด้วยบทมีอาทิว่า ธมฺเม ิโต (ทรงดำรงอยู่ในธรรม) ท่านกล่าวถึง ความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มีธรรม (ทรงเป็นธรรม) และเป็นเจ้าแห่งธรรม สมดังที่ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 597
พระมหากัจจายนะกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงรู้สิ่งที่ควรรู้ ทรงเห็นสิ่งที่ควรเห็น ทรงเป็นผู้มีพระจักษุ ทรงเป็นผู้มีพระญาณ ทรงเป็นผู้มีธรรม ทรงเป็นพรหม ทรงเป็นผู้เผยแผ่ ทรงเป็นผู้ประกาศ ทรงเป็นผู้ขยายเนื้อความ ทรงเป็นผู้ให้อมตธรรม ทรงเป็นเจ้าของแห่งธรรม ทรงเป็นพระตถาคต เพราะฉะนั้น ด้วยบทนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธมฺมจกฺกํ (ธรรมจักร) เพราะเป็นจักรแห่งธรรม (พระผู้มีพระภาคเจ้า).
บทว่า ิโต (ตั้งอยู่แล้ว ทรงดำรงอยู่) คือตั้งอยู่โดยความมีอารมณ์ ได้แก่ ดำรงอยู่โดยความเป็นอารมณ์.
บทว่า ปติฏฺิโต (ประดิษฐานแล้ว ทรงประดิษฐาน) คือประดิษฐานโดยความไม่หวั่นไหว.
บทว่า วสิปฺปตฺโต (ทรงบรรลุถึงความชำนาญ) คือถึงความมีอิสรภาพ.
บทว่า ปารมิปฺปตฺโต (ทรงบรรลุถึงความยอดเยี่ยม) คือบรรลุถึงที่สุด.
บทว่า เวสารชฺชปฺปตฺโต (ทรงบรรลุถึงความแกล้วกล้า) คือบรรลุถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า.
ด้วยบทมีอาทิว่า ธมฺเม ปติฏฺาเปนฺโต (ทรงให้มหาชนดำรงอยู่ในธรรม) ท่านเพ่งถึงสันดานของเวไนยสัตว์ แล้วกล่าวว่า จกฺกํ ทรงยังจักรให้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ธรรม เพราะพระองค์เป็นเจ้าของธรรม ด้วยคำดังกล่าวแล้ว.
ด้วยบทมีอาทิว่า ธมฺมํ สกฺกโรนฺโต (ทรงสักการะธรรม) ท่านกล่าวว่า จกฺกํ ทรงยังจักรให้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ธรรม เพราะผู้ใดประพฤติธรรมด้วยสักการะเป็นต้น ผู้นั้น ชื่อว่า ประพฤติเพื่อธรรม (ได้แก่ ทรงกระทำโดยประการที่ธรรมนั้นอันพระองค์กระทำแล้ว เป็นอันกระทำแล้วด้วยดี).
บทว่า ธมฺมํ ครุกโรนฺโต (ทรงเคารพธรรม) คือทำความเคารพธรรมนั้นด้วยให้เกิดคารวะในธรรมนั้น.
บทว่า ธมฺมํ มาเนนฺโต (ทรงนับถือธรรม) คือทรงทำธรรมให้เป็นที่รัก ให้เป็นที่น่ายกย่องอยู่.
บทว่า ธมฺมํ ปูเชนฺโต (ทรงบูชาธรรม) คือทรงอ้างถึงธรรมนั้น แล้วทำการบูชาด้วยปฏิบัติบูชา คือเทศนา.
บทว่า ธมฺมํ อปจายมาโน (ทรงนอบน้อมธรรม) คือทรงทำความประพฤติถ่อมตนด้วยการสักการะและเคารพธรรมนั้นนั่นเทียว.
บทว่า ธมฺมทฺธโช ธมฺมเกตุ (ทรงมีธรรมเป็นธง ทรงมีธรรมเป็นยอด) ความว่า ทรงมีธรรมเป็นธงและมีธรรมเป็นยอด ด้วยการประพฤตินำธรรมนั้นไว้ในเบื้องหน้าดุจธงและยกขึ้นดุจเป็นยอดแล้วให้เป็นไป.
บทว่า ธมฺมาธิปเตยฺโย (ทรงมีธรรมเป็นใหญ่)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 598
คือทรงมาจากความมีธรรมเป็นใหญ่ ทรงเป็นผู้มีธรรมเป็นใหญ่ด้วยกระทำกิริยาทั้งปวงด้วยอำนาจแห่งธรรม คือการภาวนา.
บทว่า ตํ โข ปน ธมฺมจกฺกํ อปฺปฏิวตฺติยํ (ก็ธรรมจักรนั้นแล คัดค้านไม่ได้) อันใครๆ ยังธรรมจักรนั้นให้เป็นไปไม่ได้ ท่านกล่าวถึงความเป็นธรรมที่ไม่ถูกกำจัด เพราะใครๆ ไม่สามารถจะให้ย้อนกลับได้ เพราะฉะนั้น ธรรมนั้นท่านจึงกล่าวว่า จกฺกํ เพราะอรรถว่า เป็นไปได้ (หมุนไป).
บทว่า สทฺธินฺทฺริยํ ธมฺโม ตํ ธมฺมํ ปวตฺเตติ (สัทธินทรีย์เป็นธรรม ทรงยังธรรมนั้นให้เป็นไป) ความว่า ยังสัทธินทรีย์เป็นธรรมนั้นให้เป็นไป ด้วยยังสัทธินทรีย์สัมปยุตด้วยมรรคให้เกิดในสันดานของเวไนยสัตว์ แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า สจฺจา (สัจจะ) คือสัจจญาณ วิปัสสนา และ วิชชา ก็คือมรรคญาณ.
บทว่า อนุปฺปาเท าณํ (ญาณในความไม่เกิด) คือญาณในอรหัตผล ทรงยังญาณแม้นั้นให้เป็นไปในสันดานของเวไนยสัตว์ เมื่อทรงทำการแทงตลอดซึ่งนิพพาน ก็ชื่อว่า ทรงยังญาณให้เป็นไป.
ในสมุทยวารเป็นต้น ท่านแสดงย่อบทที่แปลกว่า สมุทยวตฺถุกา นิโรธวตฺถุกา มคฺควตฺถุกา (มีสมุทัยเป็นที่ตั้ง มีนิโรธเป็นที่ตั้ง มีมรรคเป็นที่ตั้ง).
บทต้นเช่นกับที่กล่าวแล้วในวาระแม้นี้ พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสัจจวาร
อรรถกถาสติปัฏฐานวารเป็นต้น
แม้วาระมีสติปัฏฐานและอิทธิบาทเป็นเบื้องต้น ท่านก็กล่าวไว้แล้วด้วยสามารถแห่งขณะของมรรค แม้วาระเหล่านั้นท่านก็แสดงย่อบทที่แปลกไว้ในวาระนั้นๆ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาสติปัฏฐานวารเป็นต้น
จบอรรถกถาธรรมจักรกถา