อ.อรรณพ ในคราวก่อนๆ เราก็ได้สนทนากันถึงเรื่องจิตว่าเป็นสภาพรู้ จิตเมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ สิ่งที่จิตรู้คืออารมณ์ เมื่อจิตเกิดขึ้นจะต้องทำกิจการงาน และมีอารมณ์คือจะต้องรู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่จิตรู้ จะว่างจากสิ่งที่จิตรู้ไม่ได้เลย เพราะว่าลักษณะของจิตหรือคำว่านามธรรมเป็นสภาพที่น้อมไปในอารมณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเจตสิกเกิดขึ้น จะต้องมีสิ่งที่จิตรู้คืออารมณ์ จะไม่ว่างเลยจากกิจของจิตที่ต้องมีสิ่งที่จิตรู้คืออารมณ์
ท่านอาจารย์ ขอถามเพิ่มเติมทบทวนความเข้าใจว่าขณะที่นอนหลับสนิทจิตรู้อารมณ์หรือเปล่า
ผู้ฟัง รู้อารมณ์
ท่านอาจารย์ รู้ แต่ว่าอารมณ์นั้นไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงไม่ปรากฏ แต่จิตเป็นสภาพรู้ จะมีจิตเกิดโดยไม่รู้อารมณ์ไม่ได้ แม้แต่ปฏิสนธิหรือภวังค์ก็ต้องรู้อารมณ์ของปฏิสนธิและภวังค์ซึ่งไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ โลกนี้จะปรากฏเมื่อเห็น ถ้าไม่เห็นเลย โลกนี้จะปรากฏไหม ถ้าไม่ได้ยินเลย ไม่ได้กลิ่นเลย ไม่ลิ้มรสเลย ไม่กระทบสัมผัสอะไรเลย ไม่คิดนึกใดๆ เลยโลกนี้ก็ไม่ปรากฏ
ผู้ฟัง ผมยังไม่เข้าใจว่าภวังค์รู้อารมณ์ของโลกในอดีต หลับไปก็หลับไปเฉยๆ ไม่เห็นไม่รู้อะไรเลย
ท่านอาจารย์ เชิญอาจารย์สุภีร์
อ.สุภีร์ ก็เพราะรู้อารมณ์ในอดีตจึงเหมือนหลับไปเฉยๆ แต่ถ้ามีการรู้อารมณ์ของโลกนี้ก็คือรู้ทางทวารทั้ง ๖ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลกนี้จึงจะปรากฏ จึงมีเราหรือว่ามีญาติ มีบ้าน มีรถ มีการงาน หรือว่ามียศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ มากมายซึ่งเป็นของโลกนี้ แต่ภวังคจิตนี้รู้อารมณ์ของชาติที่แล้วโลกนี้จึงไม่ปรากฎเลย ฉะนั้นเวลาเรานอนหลับสนิทก็จะไม่มีบ้านไม่มีรถไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ ที่เราได้มาในโลกนี้เลย ต่อเมื่อใดที่ตื่นมาแล้วมาเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ของโลกนี้อีกครั้งหนึ่งจึงจะมีอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นภวังคจิตก็เป็นจิตชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นทำภวังคกิจดำรงความเป็นบุคคลนั้นไว้เพื่อให้รับผลของกรรมประการอื่นๆ ต่อทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ว่าเป็นการรู้อารมณ์ของโลกที่แล้วโลกนี้จึงไม่ปรากฏไม่ว่าจะนอนบนเตียงนุ่มๆ ขนาดไหน หรือว่าบางท่านอาจจะนอนใต้ร่มไม้ถ้าขณะที่หลับสนิทจะไม่ต่างกันเลยเพราะว่าไม่รู้เรื่องของโลกนี้เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ ขอทบทวนเพราะว่าจะได้ไม่ลืม ขณะที่หลับสนิทมีเอกัคคตาเจตสิกไหม ถูกต้องคำตอบคือ มี ไม่ว่าจิตขณะใดจะเกิดขึ้นต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และก็มีเจตสิก ๗ ประเภทซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกประเภท
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นที่พูดถึงเรื่องจิตว่าง ไม่ว่าง ถ้าเราใช้คำว่าจิตไม่ว่าง ก็ไม่ผิดใช่ไหม
อ.อรรณพ แล้วแต่ผู้ที่กล่าวว่าจะมุ่งหมายอย่างไร ถ้าหมายถึงจิตเกิดขึ้นจะต้องรู้อารมณ์ จิตเกิดขึ้นก็ต้องทำกิจการงาน แต่ถ้าว่างจากอกุศลขณะนั้นเป็นไปได้ในขณะที่เป็นกุศลขณะนั้นเว้นว่างจากอกุศลเจตสิตชั่วขณะ แต่จิตเป็นสภาพรู้เป็นนามธรรมเมื่อเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ และเกิดขึ้นต้องทำกิจการงานอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๑๔ กิจ ซึ่งกิจในขณะแรกของชาตินี้เกิดขึ้นก็ทำปฏิสนธิกิจก็คือเกิดเป็นจิตแรก จนกระทั่งจิตสุดท้ายของชาตินี้คือจุติจิตก็เกิดขึ้นทำกิจการงานคือทำกิจหน้าที่เคลื่อน
จิตเกิดขึ้นย่อมมีสิ่งที่จิตรู้แล้วก็ทำกิจ แต่ขึ้นกับว่าจิตนั้นทำกิจใดและรู้อารมณ์ใด ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาสักครู่ว่าในขณะที่ภวังค์ขณะที่หลับดูเหมือนไม่รู้อะไรเลยเพราะว่าจิตนั้นเป็นภวังคจิตทำภวังคกิจคือดำรงภพชาติเป็นวิบากจิต ไม่ใช่จิตที่เห็น ได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องคิดนึกเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่เว้นว่างจากการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส หรือคิดนึก ขณะนั้นก็เป็นภวังคจิตคือเป็นจิตที่ไม่เป็นวิถีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ใช่ไหม แต่ขณะนั้นต้องมีอารมณ์ของจิตเพราะจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ เราอาจจะคิดโดยความคิดกว้างๆ ว่าหลับก็เหมือนกับไม่รู้อะไร แต่เพราะว่าจิตนั้นทำกิจดำรงภพชาติ ในเมื่อยังเป็นมนุษย์ในภพชาตินี้อยู่ ตราบใดที่กรรมยังไม่หมดไป ยังไม่ถึงคราวที่จะเคลื่อนย้ายไปสู่ภพใหม่ ในขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่กระทบสัมผัส หรือไม่ได้คิดนึกเรื่องใด ก็เป็นภวังคจิตที่เกิดขึ้นทำกิจดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้นต้องทำกิจการงาน และรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด เพียงแต่ว่าอารมณ์นั้นไม่ใช่อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนในขณะนี้ [สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065]
รับฟัง ...
จิตเกิดขึ้นต้องทำกิจการงาน