ตายแล้ว คงจะสูญหายไปเลย
โดย ธรรมทัศนะ  3 ต.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51074

เมื่อเกิดมาแล้วก็ไม่ทราบว่าเกิดมาเพราะอะไร ถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่ศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ท่านอาจจะนึก คาดคะเนเองต่างๆ นานา บางท่านคิดว่า เมื่อจุติ สิ้นชีวิตจากปัจจุบันชาตินี้ก็ไม่มีการเกิดอีก เพราะไม่ทราบว่าที่เกิดขึ้นมานั้นมีนามธรรมซึ่งเป็นเชื้อเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เพราะฉะนั้น ท่านก็คิดว่าเมื่อเกิดแล้วก็ตาย คงจะสูญหายไปเลย ไม่มีการเกิดอีก


รับฟัง ...

เกิดแล้วก็ตาย คงจะสูญหายไปเลย

ก่อนที่จะศึกษาธรรม ไม่ทราบเหตุหรือปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธิ เมื่อเกิดมาแล้วก็ไม่ทราบว่าเกิดมาเพราะอะไร และระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่ศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ท่านอาจจะนึก คาดคะเนเองต่างๆ นานา บางท่านคิดว่า เมื่อจุติ สิ้นชีวิตจากปัจจุบันชาตินี้ก็ไม่มีการเกิดอีก เพราะไม่ทราบว่าที่เกิดขึ้นมานั้นมีนามธรรมซึ่งเป็นเชื้อเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เพราะฉะนั้น ท่านก็คิดว่าเมื่อเกิดแล้วก็ตาย คงจะสูญหายไปเลย ไม่มีการเกิดอีก ไม่มีการสืบต่อดำรงภพชาติต่อไป แต่บางท่านที่เป็นผู้ที่ได้ฟังธรรม ได้พิจารณา มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า เมื่อจุติจากโลกนี้ไปแล้วจะต้องมีการเกิด คือ มีการปฏิสนธิ แต่ก็ยังไม่ทราบเหตุผลชัดเจนว่า เหตุอย่างใดจะทำให้ปฏิสนธิจิตประเภทใดเกิดขึ้น และท่านที่ได้ฟังธรรมก็จะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกว่า ถ้าตราบใดที่ยังมีเชื้อ มีเหตุ มีปัจจัย คือ กิเลสยังไม่ดับหมดสิ้นแล้ว จะต้องมีการปฏิสนธิ คือ การเกิดอีกหลังจากที่จุติแล้ว จะไม่สูญไปเลยเพราะเหตุว่าเชื้อหรือเหตุปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธินั้นยังมีอยู่ นี่เป็นขั้นของการศึกษา การพิจารณาธรรม

แต่สำหรับผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ รู้ชัดเพิ่มขึ้นอีก เพราะเหตุว่าท่านเป็นผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะสภาพของธรรม ทางกายมีการฆ่าสัตว์บ้างไหม ในขณะที่กำลังฆ่าไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม การฆ่าจึงสำเร็จได้ เพราะเหตุว่าการกระทำทุจริตกรรมที่จะสำเร็จได้แต่ละครั้ง อกุศลจิตต้องเกิดมากมายหลายขณะและสติไม่ได้เกิดขึ้นระลึกรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ถ้าระลึกรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม รู้ว่าเป็นอกุศลกรรม สติย่อมวิรัติอกุศลกรรมในขณะนั้นไม่ให้สำเร็จได้ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่บุคคลนั้นยังเจริญสติไม่มากพอที่จะวิรัติทุจริตกรรมได้หมดสิ้นเป็นพระโสดาบันบุคคล ก็ยังมีการล่วงกระทำอกุศลกรรม

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานจะทราบชัดว่า ยังมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม ชีวิตทุกๆ วันนี้ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะรู้ดีกว่าท่าน อย่างข้อปาณาติบาต คิดที่จะทำบ้างไหม ขณะที่คิด สติไม่ได้ระลึกรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม และถ้าการกระทำนั้นยังมีอยู่เพราะว่าสติไม่ได้ระลึกรู้จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบันได้ ผู้นั้นก็ยังมีการกระทำทุจริตกรรมได้อยู่ แต่ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็สามารถที่จะละทุจริตกรรมที่จะเป็นเหตุให้ไปอบายภูมิได้

สำหรับทางวาจา กิเลสก็มีกำลังที่จะทำให้กระทำวจีทุจริตได้ มุสาวาท พูดสิ่งที่ไม่จริง กุศลจิตจะทำอย่างนี้ไหม ไม่เลย มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดสิ่งที่ไม่จริง แต่เพราะอกุศลจิตมีกำลัง จึงทำให้พูดในสิ่งที่ไม่จริง ใครรู้ว่ากำลังพูดสิ่งที่ไม่จริง คนที่กำลังพูดทราบใช่ไหมว่ากำลังพูดในสิ่งที่ไม่จริง ในขณะนั้นเป็นอกุศลจิต สติไม่ได้เกิดขึ้นระลึกรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น เมื่อหลงลืมสติขณะใด ก็กระทำทุจริตกรรมได้

ทางวาจา นอกจากจะพูดไม่จริงเป็นมุสาวาทแล้ว ยังมีปิสุณาวาจา การพูดส่อเสียด เป็นอกุศลจิตที่มีกำลัง ซึ่งตามปกติทุกท่านก็ยังมีโลภะ โทสะ โมหะ มีริษยา แต่ถ้ามีกำลัง ก็สามารถที่จะกระทำปิสุณาวาท คือ การพูดส่อเสียดได้ในขณะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ ก็จะวิรัติทุจริตกรรมทีละเล็กทีละน้อย เบาบางไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีปกติเจริญสติ การกระทำเหล่านี้ก็ย่อมจะเป็นไปตามกำลังของกิเลสที่มีกำลัง

นอกจากปิสุณาวาท ยังมีผรุสวาท การพูดคำหยาบ นี่เป็นเพราะอกุศลจิต และยังมีทุจริตทางวาจา สัมผัปปลาปวาทะ การพูดคำที่ไม่มีประโยชน์ อาจจะเป็นเรื่องของบุคคลอื่นที่ท่านรู้มา เป็นความจริงไม่ใช่มุสา ไม่มีประโยชน์ในการที่จะพูด แต่ก็พูด เป็นชีวิตจริงๆ ใช่ไหม เรื่องที่ไม่มีประโยชน์เลย ในขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต

ท่านที่มักจะกระทำอกุศลกรรมเหล่านี้ ก็เป็นเพราะสะสมมา แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติสติ จะระลึกได้ และวิรัติ ก็ขัดเกลากิเลสให้น้อยลงได้ นี่เป็นประโยชน์ของการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ซึ่งต้องสำรวจไปเป็นข้อๆ ข้อไหนที่ท่านยังกระทำอยู่ หรือคิดว่าอาจจะพลาดพลั้งกระทำอีก ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดในอบายภูมิ ถ้าเกิดเป็นสัตว์ในนรก หรือในกำเนิดดิรัจฉานแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงอุปมาว่า เหมือนกับเรือนจำ [ตอนที่ 262]



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 3 ต.ค. 2568

รู้ว่าเป็นอกุศลกรรม สติย่อมวิรัติอกุศลกรรม [ตอนที่ 262]

สำหรับผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ รู้ชัดเพิ่มขึ้นอีก เพราะเหตุว่าท่านเป็นผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะสภาพของธรรม ทางกายมีการฆ่าสัตว์บ้างไหม ในขณะที่กำลังฆ่าไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม การฆ่าจึงสำเร็จได้ เพราะเหตุว่าการกระทำทุจริตกรรมที่จะสำเร็จได้แต่ละครั้ง อกุศลจิตต้องเกิดมากมายหลายขณะ และสติไม่ได้เกิดขึ้นระลึกรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ถ้าระลึกรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม รู้ว่าเป็นอกุศลกรรม สติย่อมวิรัติอกุศลกรรมในขณะนั้นไม่ให้สำเร็จได้ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่บุคคลนั้นยังเจริญสติไม่มากพอที่จะวิรัติทุจริตกรรมได้หมดสิ้นเป็นพระโสดาบันบุคคล ก็ยังมีการล่วงกระทำอกุศลกรรม

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 3 ต.ค. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ