ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๓ * * 
~ พุทธบริษัท ต้องเคารพอย่างยิ่งในพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ ที่แสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง เพื่ออะไร? เพื่อสัตว์โลกจักไม่เข้าใจผิด
~ เกิดมาไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อเข้าใจธรรมเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา เพราะอย่างไรๆ ก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่จะไปพร้อมกับกิเลสมากๆ หรือว่าจะไปพร้อมปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น
~ ถ้าค่อยๆ ปลูกฝังความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ทั้งหมดเป็นธรรม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็จะค่อยๆ นำไปสู่การที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
~ อันตรายที่มองไม่เห็นยิ่งกว่าอันตรายอื่น ก็คือ ชาวพุทธที่เข้าใจว่าตัวเองนับถือพระพุทธศาสนา (แต่) ไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เข้าใจธรรม ก็คล้อยตามสิ่งที่ผิดทั้งหมด โดยไม่เห็นว่า นั่น เป็นภัยที่ช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา
~ ให้ทราบว่า ทุกขณะที่ได้ฟังพระธรรมและเข้าใจ นั่นคือ ได้กระทำกิจที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อตนเองและพระธรรมวินัยด้วย เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ไม่ได้เลยถ้าไม่มีใครที่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจ ก็คือ ได้ทำหน้าที่ของชาวพุทธที่กตัญญูรู้คุณของพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น เมื่อรู้คุณแล้วก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถจะกระทำได้เพื่อดำรงรักษาพระธรรมวินัยเท่าที่จะทำได้ ก็เป็นประโยชน์ ต่อไป
~ ต้นเหตุของทุกปัญหา ก็คือ ความไม่รู้ จะแก้ได้ ก็ต่อเมื่อเป็นความรู้จริงๆ เพราะถ้าเราเข้าใจธรรม เรารู้ว่าอะไรดี อะไรชั่วจริงๆ อะไรถูกอะไรผิดจริงๆ ความรู้นั้นต่างหาก ที่จะนำชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง ในทางที่เป็นกุศล ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ยืนหยัดในความถูกต้องในทางที่เป็นกุศลที่ดีงาม จะไม่ทำชั่ว เพราะปัญญา
~ ไม่มีทางที่ความเข้าใจถูก จะนำไปสู่ความประพฤติที่ผิด
~ มีชีวิตอยู่ทุกวันไป เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ โดยไม่รู้เลยว่าใครจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ วันไหน เวลาไหน เมื่อมีเหตุที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไป ก็ต้องเป็น ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้
~ เกิดมาแล้ว ก่อนจะจากโลกนี้ไป สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ดีกว่าเกิดมาสุขทุกข์ชั่วคราว ลาภ ยศ สรรเสริญ เดี๋ยวมีเดี๋ยวหมด แล้วก็จากโลกนี้ไป เอาอะไรไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไร นอกจากว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ เข้าใจว่า มี แต่แล้ว ก็ไม่มี
~ ไม่มีใครอยากโกรธ แต่ก็โกรธ มีจริงๆ เพราะฉะนั้น โกรธ เป็นธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม โต๊ะเก้าอี้ไม่โกรธ จะไปทุบไปตีอย่างไร ก็ไม่โกรธ เพราะไม่ใช่สภาพรู้
~ ใครก็ตาม ที่ไม่ชอบเราว่าเรา นั่น โทสะ (ความโกรธ) ของเขา แล้วทำไมจะไปเดือดร้อน เห็นไหม? ความไม่รู้ทำให้เดือดร้อนว่าเขาว่าเรา เพราะไม่รู้ ใช่ไหม? แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่าไม่มีเราขณะนั้นไม่เอาโทษมาใส่ตนเอง คือ ไม่เป็นปัจจัยให้กิเลสที่สะสมมาเพิ่มความเป็นตัวตนขึ้น เพราะมีความเข้าใจถูกต้อง ว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น จากการที่เริ่มเข้าใจมั่นคงว่าไม่มีเรา กุศลทั้งหมด จะเจริญขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
~ เสพคุ้นกับคำที่มีค่าที่สุด ที่รู้ว่า นี่คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคำอื่นไม่เหมือน คำอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เราเกิดปัญญาได้ ไม่มีค่าเสมอเหมือนแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้นๆ แต่ละคำจะทำให้เราคิด ไตร่ตรอง เห็นค่า และไม่ประมาท
~ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เริ่มเข้าใจ ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ละคำที่ได้ฟังแล้ว ต้องไตร่ตรองเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แสดงว่า ต้องมีจริงทุกหนทุกแห่ง อะไรที่มีจริง เป็นธรรมทั้งหมด
~ แต่ละคน ดีบ้าง เลวบ้าง ทุกคนไม่อยากจะเป็นคนเลว ทุกคนไม่อยากจะเป็นคนที่ทำผิด ทุกคนไม่อยากจะมีกิเลสมากๆ แต่ต้องเป็นไปตามการสะสม เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เป็นปัจจัยให้ทำความดีมากขึ้น เพราะรู้ว่าเหตุที่ทำในชาตินี้ก็จะทำให้เกิดผลในชาติต่อไปด้วย
~ ถ้าความดีเกิดขึ้นแม้เพียงนิดเดียวเล็กน้อยเท่าไหร่ ขณะนั้น ไม่ใช่อกุศลที่จะหุ้มห่อปิดบัง เพราะฉะนั้น เห็นคุณของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แล้วจะละเลยโอกาสของกุศลไหม? แต่ก่อนเคยละเลยมามาก แต่เดี๋ยวนี้ ที่ไหน ตรงไหน ก็เป็นโอกาสของกุศลทั้งสิ้น
~ สิ่งใดๆ ก็ติดตามไปไม่ได้เลย ร่างกายทั้งหมดทรัพย์สมบัติทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างไปไม่ได้ เว้นแต่ดีและชั่ว ที่สะสมอยู่ทุกขณะทุกวันจะติดตามสะสมไป เพราะฉะนั้น ก็ควรจะระลึกถึงพระปัจฉิมวาจา (วาจาครั้งสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) คือ ไม่ประมาท ไม่ประมาทแม้แต่ในการฟังธรรมให้เข้าใจและในทุกอย่างด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจพระธรรมทุกคนก็จะมีความดีเพิ่มขึ้น
~ เมื่อถึงกาลที่กรรมจะให้ผล มือที่มองไม่เห็น ทำได้ทุกอย่าง ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดตามเหตุ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องธรรม และเรื่องของเหตุและผล คือ กรรมซึ่งเป็นเหตุและวิบากซึ่งเป็นผลของกรรม จะเดือดร้อนไหม?
~ ประมาทไม่ได้เลย ขณะใดก็ตามที่เป็นโอกาสที่กุศลจิตจะเกิด ถ้าทิ้งโอกาสนั้น พลาดโอกาสนั้น (โอกาสของกุศล) ก็หมดไป แต่ละหนึ่งขณะๆ มากไหม? เพราะฉะนั้น ก็ฟัง (พระธรรม) เพื่อให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง เพื่อที่จะได้เป็นผู้ที่มั่นคงในกุศล
~ การที่กุศลจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณจริงของกุศลธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลาอกุศล จึงไม่ว่างเว้นจากโอกาสที่จะได้สะสมความดีในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของความดีประเภทใดก็ตาม
~ พระธรรมจะชี้ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อกุศลเป็นอกุศล แยบยลหลากหลายและละเอียดมากด้วย ยากที่จะรู้ได้ แต่ปัญญาสามารถรู้ทุกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ขณะนั้นเบิกบานที่ได้รู้ความจริงและได้พ้นจากการไม่รู้ความจริง
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๒

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขอกราบอนุโมทนาค่ะ
ยินดีมากในกุศล อ.คำปั่น ค่ะ
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาคุณความดีทุกประการค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ