จิตมีราคะ คือ สราคจิต เป็นสิ่งที่สติระลึกรู้ได้ โดยปรมัตถธรรมก็ได้แก่โลภมูลจิต ๘ ประเภท หรือ ๘ ดวงนั่นเอง ส่วนการที่ท่านผู้หนึ่งผู้ใดระลึกแล้วจะรู้ว่าเป็นประเภทไหน มีความต่างกันมากน้อยอย่างไรกับดวงอื่น ก็ต้องแล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคล
เปิดฟัง ...
โลภมูลจิตต่างเป็น ๘ ประเภทโดยเวทนา
ในปริยัติได้ทรงแสดงโลภมูลจิตไว้ถึง ๘ ดวง
ดวงที่ ๑ คือ โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฐิคตสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ หมายความถึงสภาพจิตที่มีความยินดีต้องการ เกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนา เป็นไปกับความเห็นผิด และเป็นลักษณะของโลภมูลจิตที่มีกำลังด้วย กล่าวคือ ได้เหตุได้ปัจจัยที่แก่กล้า จึงเกิดขึ้นได้ตามลำพังตนเองโดยไม่ต้องอาศัยการชักชวน การลังเลใดๆ ทั้งสิ้น
โลภทิฏฐิสัมปยุตต์มี ๔ ดวง เป็นโสมนัสเวทนา ๒ ดวง เป็นอุเบกขาเวทนา ๒ ดวง
โสมนัสเวทนา ๒ ดวง คือ เป็นอสังขาริก มีกำลังแรงกล้าด้วยตนเอง ๑ ดวง เป็นสสังขาริก คือ อาศัยการชักจูง ๑ ดวง
ส่วนอุเบกขาก็เหมือนกัน เวลาที่เกิดพร้อมกับความเห็นผิดแล้วก็มีกำลังกล้า ๑ ดวง และอาศัยการชักจูงอีก ๑ ดวง
ทิฏฐิเจตสิก หรือความเห็นผิดในสภาพธรรมมีมากมายต่างๆ กันออกไป ที่ได้ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกนั้นก็มีมาก แต่ก็ยังมีความเห็นผิดสำหรับผู้ที่แม้ว่าจะได้ศึกษาปริยัติแล้ว
โดยการศึกษาปริยัติ มีแต่ปรมัตถธรรม คือ สภาพที่เป็นจิตปรมัตถ์ เป็นเจตสิกปรมัตถ์ เป็นรูปปรมัตถ์ เป็นนิพพานปรมัตถ์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่จิต เจตสิก รูป เป็นปรมัตถธรรมที่มีการเกิดขึ้นและดับไป แล้วก็มีนิพพานปรมัตถ์ ๔ ปรมัตถ์เท่านั้น
เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่าผู้ที่ศึกษาเข้าใจในเรื่องของปรมัตถธรรม เรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพานแล้ว ไม่มีสักกายทิฏฐิ หรือว่า ไม่มีความเห็นผิดได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องความเข้าใจในขณะที่เรียน แต่เวลาที่กำลังเห็น เป็นอย่างที่เรียนไหม
เวลาเรียน จักขุวิญญาณไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพที่เห็นสี จักขุวิญญาณเห็นรูปารมณ์ รูปารมณ์หมายความถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา นี่โดยการศึกษา เป็นแต่จิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ แต่เวลาเห็นจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่ศึกษา เห็นเป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคล เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ
ถ้าบอกว่าโต๊ะ ผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐานก็ไม่สามารถที่จะแยกรูปที่ประชุมรวมกันให้กระจัดกระจายออกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นอะไรทั้งสิ้นก็ตาม ถ้าปรากฏทางตาแล้ว ก็เป็นแต่เพียงรูปสี สีสันวรรณะต่างๆ ที่ปรากฏเฉพาะทางตาเท่านั้น และผู้ที่ไม่ได้เจริญสติ ก็ยังคงเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ ควบคุมประชุมรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้น การละ การขัดเกลากิเลสจะต้องทราบว่า ท่านเองถึงแม้ว่าจะได้ศึกษาพระธรรม แต่ถ้าไม่ได้เจริญสติ ไม่มีโอกาสที่จะละ หรือดับโลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิคตสัมปยุตต์ได้เลย แต่ผู้ที่เริ่มเจริญสติ ความรู้ลักษณะของนามและรูปมากขึ้น ชินขึ้น ชำนาญขึ้น คมขึ้น แล้วแต่ขั้นของปัญญา ถ้าปัญญามีความคมกล้า ทันทีที่สติระลึก ก็รู้ลักษณะของนามของรูปที่กำลังปรากฏโดยที่ไม่สับสน หรือไม่ปะปนกัน
เพราะฉะนั้น ท่านก็พิจารณาได้ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจที่เป็นโลภมูลจิต จะเป็นโสมนัส หรือจะเป็นอุเบกขา แล้วก็มีทิฏฐิ-สัมปยุตต์ หรือว่าเป็นทิฏฐิวิปปยุตต์ เป็นอสังขาริกมีความแรงกล้า มีกำลัง หรือว่าเป็นสสังขาริกที่ไม่มีความแรงกล้า ต้องอาศัยการชักจูง [ตอนที่ 132]
โลภมูลจิตที่ต่างเป็น ๘ ประเภทนั้นก็โดยเวทนา เป็นโลภมูลจิตที่เป็น โสมนัสเวทนา ๔ ดวง อุเบกขาเวทนา ๔ ดวง ทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง อสังขาริก ๔ ดวง สสังขาริก ๔ ดวง
ขณะนี้กำลังพูดถึงโลภมูลจิตดวงที่ ๑ คือ โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ อสงขาริกํ
ต่อไปก็เป็นโลภมูลดวงที่ ๒
ดวงที่ ๒ คือ โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ สสงขาริกํ เกิดพร้อมกับความเห็นผิด เวทนาที่เกิดร่วมด้วยเป็นโสมนัส ไม่ใช่จิตที่มีกำลังกล้า จึงเป็นสสังขาริก เมื่อเกิดมามีความไม่รู้ในลักษณะของนามของรูป มีฆนสัญญาเกิดขึ้นเวลาที่เห็นสิ่งที่ประชุมรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็มีการยึดถือ แต่ก็ยังมีคำสอนที่ได้ยินได้ฟังในเรื่องของตัวตนหนักแน่นขึ้นอีก ไม่มีการเกิดขึ้น ไม่มีการดับไป ถึงแม้ว่าจะตายแล้วจากโลกนี้แต่อัตตาก็ยังอยู่ นี่เป็นสภาพของความเห็นผิดซึ่งอาศัยการชักจูงของบุคคลอื่น การได้ยินได้ฟังบ่อยๆ และขาดการพิจารณาอย่างถูกต้อง ก็ทำให้ยึดมั่นเชื่อถือในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงได้ ซึ่งก็เป็นโสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
เวลาที่สติระลึกรู้ลักษณะของรูป ก็จะต้องรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นรูปชนิดหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางหูก็เป็นลักษณะของรูปชนิดหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางจมูกก็เป็นรูปชนิดหนึ่ง คือกลิ่น สิ่งที่ปรากฏทางลิ้นก็เป็นรูปชนิดหนึ่ง คือรส สิ่งที่ปรากฏทางกายก็เป็นรูปเย็น รูปร้อน รูปอ่อน รูปแข็ง รูปตึง รูปไหว
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติเป็นผู้ที่พิจารณาใคร่ครวญ ฟัง เทียบเคียง สอบทาน แม้ในขณะที่สติเกิด ถ้ามีลักษณะปรากฏ ก็เป็นรูปปรมัตถ์ แต่ถ้าไม่มีลักษณะปรากฏ ก็ไม่ใช่รูปปรมัตถ์ แต่เป็นสิ่งที่ท่านมีสัญญายึดโยงรูปนั้นไว้
โลภมูลจิตดวงที่ ๓ โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกกํ ไม่ใช่แต่เฉพาะปุถุชนเท่านั้นที่มีโลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์ แม้พระอริยบุคคลที่มิใช่พระอรหันต์ก็มีโลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์ด้วย
แต่เมื่อพูดถึงอนุสัยกิเลสแล้วต่างกันมาก สภาพลักษณะของจิตที่เกิดเป็นโลภทิฏฐิวิปปยุตต์เหมือนกัน เชื้อของความพอใจมีมากมายพร้อมที่จะไหลไปสู่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อย่างได้ยินเสียงนิดเดียวไม่รู้เลยว่าเสียงอะไร แต่ถ้าเป็นเสียงที่น่าฟัง ความพอใจยินดีก็มีในเสียงนั้น ทางตาก็เหมือนกัน ทางหูก็เหมือนกัน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็เหมือนกัน นี่ก็เป็นลักษณะของโลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต์ อาจจะเกิดร่วมกับโสมนัสก็ได้ เป็นอสังขาริกก็ได้ นี่เป็นโลภมูลจิตดวงที่ ๓
ในขณะที่มีความยินดีความพอใจเกิดขึ้น แต่ไม่ได้เกิดร่วมกับความเห็นผิด ในขณะนั้นก็เป็นโลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์
สิ่งที่ทำให้เห็นชัด คือ เทียบเคียงกับพระอริยเจ้า อย่างพระโสดาบันบุคคล มีโลภมูลจิตแต่ไม่มีทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ไม่มีความเห็นผิดใดๆ เกิดร่วมด้วย แต่ก็ยังเป็นสภาพของความพอใจ ความต้องการ ความชอบ ความยินดีในสิ่งที่เห็นทางตา ในเสียงที่ได้ยินทางหู
พระโสดาบันไม่รู้หรือว่าเป็นเก้าอี้ พระโสดาบันรู้ แต่ท่านไม่มีสักกายทิฏฐิไม่มีความเห็นผิดใดๆ เลยนับตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น เพราะเหตุว่า ท่านเจริญปัญญารู้ชัดในลักษณะของนามของรูป ท่านรู้ว่าการรู้ความหมายนั้นก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น และไม่มี โลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์เลย การเห็นของท่านก็เหมือนกับการเห็นของบุคคลอื่น ต่างกันที่อนุสัยกิเลส ทิฏฐานุสัยไม่มี วิจิกิจฉานุสัยไม่มี เพราะท่านเจริญสติแล้วท่านรู้ชัด ท่านรู้ความหมายของสิ่งที่เห็นเป็นปกติ แต่ท่านละทิฏฐิทั้งหมดไม่เกิดอีกเลยตั้งแต่ท่านเป็นพระอริยบุคคล แต่ยังมีความพอใจ มีความต้องการเกิดขึ้นได้ ยังพอใจในสีสันวัณณะของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ของวัตถุสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่า นามทางตาเป็นอย่างไร รูปที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างไร แล้วที่รู้ความหมายนั้นที่ชอบที่ไม่ชอบนั่นก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง
ดวงที่ ๔ โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ สสังขาริกํ เป็นความยินดีพอใจที่ไม่เกิดกับความเห็นผิด แต่ไม่มีกำลังแรง
สำหรับโลภมูลจิตอีก ๔ ดวง ก็โดยนัยเดียวกัน แต่ว่าเกิดพร้อมกับความรู้สึกปานกลางที่เป็นอุเบกขา ไม่ได้เป็นโสมนัสเวทนาเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องของทิฏฐิคตสัมปยุตต์ วิปปยุตต์ อสังขาริก สสังขาริก ก็โดยนัยเดียวกัน
จิตมีราคะ คือ สราคจิต เป็นสิ่งที่สติระลึกรู้ได้ โดยปรมัตถธรรมก็ได้แก่โลภมูลจิต ๘ ประเภท หรือ ๘ ดวงนั่นเอง ส่วนการที่ท่านผู้หนึ่งผู้ใดระลึกแล้วจะรู้ว่าเป็นประเภทไหน มีความต่างกันมากน้อยอย่างไรกับดวงอื่น ก็ต้องแล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคล [ตอนที่ 132]

พระโสดาบันไม่รู้หรือว่าเป็นเก้าอี้ พระโสดาบันรู้ แต่ท่านไม่มีสักกายทิฏฐิไม่มีความเห็นผิดใดๆ เลยนับตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น เพราะเหตุว่า ท่านเจริญปัญญารู้ชัดในลักษณะของนามของรูป
ท่านรู้ว่าการรู้ความหมายนั้นก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น และไม่มีโลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์เลย การเห็นของท่านก็เหมือนกับการเห็นของบุคคลอื่น ต่างกันที่อนุสัยกิเลส ทิฏฐานุสัยไม่มี วิจิกิจฉานุสัยไม่มี [ตอนที่ 132]