เลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส
โดย บ้านธัมมะ  18 พ.ค. 2566
หัวข้อหมายเลข 45953

เปิดอ่าน ... เลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส

อังคุตตรนิกาย ตติยปัณณาสก์ ข้อ ๓๗๙ มีข้อความว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ย่อมบริหารตนให้ถูกกำจัด ให้ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วย ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ไม่พิจารณาไตร่ตรอง พูดสรรเสริญคุณของคนที่ควรติเตียน ๑ ไม่พิจารณาไตร่ตรอง พูดติโทษของคนที่ควรสรรเสริญ ๑

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล ย่อมบริหารตนให้ถูกกำจัด ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วย

ท่านผู้ฟังไม่ค่อยกลัวคำว่า บาป คล้ายๆ กับว่าห่างไกลตัวท่านเสียเหลือเกิน แต่คงจะไม่ทราบว่า เพียงแต่ท่านออกนอกทางที่ถูกไป ก็เป็นทางที่ผิดเสียแล้ว และก็ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ท่านหมดจดจากกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้น จึงต้องระมัดระวังและไม่ประมาทจริงๆ เพราะเหตุว่าบาปนั้นไม่ได้อยู่ไกล อยู่ใกล้ทุกๆ ขณะที่เกิดความเห็นผิดขึ้น เพียงการสรรเสริญผิด ท่านก็ไม่ทราบเลยว่า ประสบบาปเป็นอันมากเพราะเหตุว่าชื่นชมกับความเห็นผิด

ซึ่งถ้าท่านไม่พิจารณา ไม่ไตร่ตรองจริงๆ ท่านก็ยังคงมีความเห็นผิดอยู่ แต่ว่าถ้าท่านเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง พิจารณา เทียบเคียงเหตุผล และละความเห็นผิด ท่านก็จะพ้นจากบาปข้อนี้ได้ แต่ถ้าท่านไม่เป็นผู้ที่สำเหนียก ไม่เป็นผู้ที่สังเกต ไม่กลัวบาป ไม่คิดว่าบาปนั้นใกล้มากเพราะความเห็นผิด ท่านก็ยังคงมีบาปมากมาย

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษผู้ฉลาดเฉียบแหลมประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ย่อมบริหารตนไม่ให้ถูกกำจัด ไม่ให้ถูกทำลาย เขาย่อมไม่มีโทษ ไม่ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบุญเป็นอันมากอีกด้วย ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ พิจารณาไตร่ตรองแล้วพูดติเตียนคนที่ควรติเตียน ๑ พิจารณาไตร่ตรอง แล้วพูดสรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญ ๑

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษผู้ฉลาดเฉียบแหลมประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล ย่อมบริหารตนไม่ให้ถูกกำจัด ไม่ให้ถูกทำลาย เขาย่อมไม่มีโทษ ไม่ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบุญเป็นอันมากอีกด้วย

พิจารณาไตร่ตรองแล้วพูดติเตียนคนที่ควรติเตียน เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล พูดติเตียนด้วยกุศลจิตได้ไหม เพื่ออนุเคราะห์ให้เห็นว่าสิ่งนั้นไม่ควร มิฉะนั้นแล้ว ผู้นั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้พิจารณาว่า ข้อความที่บุคคลอื่นกล่าวถูกหรือผิดอย่างไร ถ้าเป็นบุคคลที่รับฟังก็ย่อมจะได้ประโยชน์ แต่ว่าผู้ที่จะกล่าวนั้น ก็ด้วยกุศลจิต ไม่ใช่ด้วยอกุศลจิต เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ไตร่ตรองแล้วพูดติเตียนคนที่ควรติเตียน ๑ พิจารณาไตร่ตรองแล้วพูดสรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญ ๑

ข้อความต่อไป ข้อ ๓๘๐ มีว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ย่อมบริหารตนให้ถูกกำจัด ให้ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปด้วยกับโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วย ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ ไม่พิจารณาไตร่ตรองแล้วเกิดเลื่อมใสในฐานะอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ๑ ไม่พิจารณาไตร่ตรองแล้วเกิดไม่เลื่อมใสในฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ๑

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล ย่อมบริหารตนให้ถูกกำจัด ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วย

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษผู้ฉลาดเฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ย่อมบริหารตนไม่ให้ถูกกำจัด ไม่ให้ถูกทำลาย เขาย่อมไม่มีโทษ ไม่ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบุญเป็นอันมากอีกด้วย ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ พิจารณาไตร่ตรองแล้วเกิดไม่เลื่อมใสในฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เลื่อมใส ๑ พิจารณาไตร่ตรองแล้วเกิดความเลื่อมใสในฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ๑

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษผู้ฉลาดเฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล ย่อมบริหารตน ไม่ให้ถูกกำจัด ไม่ให้ถูกทำลาย เขาย่อมไม่มีโทษ ไม่ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบุญเป็นอันมากอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ โดยให้ท่านผู้ฟังพิจารณาไตร่ตรอง แล้วเกิดความเลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส เกิดความไม่เลื่อมใสในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส ไม่ใช่ว่า ฟังแล้วให้เชื่อทั้งหมด ให้เลื่อมใสทั้งหมด นั่นต้องเป็นอสัตบุรุษแน่

เท่าที่ท่านผู้ฟังได้รับฟังข้อความจากพระไตรปิฎก พอที่จะทราบไหมว่า พระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมตอนนี้เพื่อประโยชน์อะไร ก็เพื่อจะได้พ้นจากความเห็นผิด เพราะเหตุว่าความเห็นผิดนั้นมีโทษมาก ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 226