การปฏิบัติบูชา
โดย พุทธรักษา  16 ม.ค. 2552
หัวข้อหมายเลข 10925

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

แนวทางเจริญวิปัสสนาโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

พระผู้มีพระภาค ทรงแสดง เรื่องการเจริญสติปัฏฐานเพื่อประโยชน์แก่ใคร เพื่ออุปการะ เกื้อกูลแก่การเจริญสติ ของผู้มีศรัทธา

ผู้มีศรัทธา หมายความว่า มีศรัทธาเกิดขึ้น แล้วพิจารณาสภาพธรรมที่ปรากฏจึงจะชื่อว่า เชื่อในการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาค ว่าพระผู้มีพระภาค ตรัสรู้จริงๆ ว่าขณะกำลังเห็นนี้ มีการเกิดดับสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้ กำลังเกิดดับเมื่อทรงตรัสรู้ อย่างไร ก็ทรงแสดงธรรม อย่างนั้นจักขุวิญญาณ ไม่เที่ยง รูปารมณ์ ไม่เที่ยง ฯลฯ ไม่ใช่ว่า พระผู้มีพระภาค และ พระอริยสาวก ไม่รู้ แต่เมื่อรู้ อย่างไร ก็แสดง อย่างนั้น
ขณะที่สติ มีปัจจัยเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ละขณะๆ ในขณะนั้นด้วยความศรัทธาในพระรัตนตรัย
ขณะนั้น เป็นการปฏิบัติบูชา
ใน ขุททกนิกาย เถรคาถา อานันทเถระคาถา มีภาษิตคาถา ของท่านพระอานนท์ มีข้อความว่า
ผู้ใด เล่าเรียนมามาก ดูหมิ่น ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน้อย ด้วยการสดับแต่เขาไม่ได้ปฏิบัติ ตามที่ได้เล่าเรียนมาย่อมปรากฏแก่เราเหมือนคนตาบอดถือดวงไฟไป ฉะนั้น


เป็นความไพเราะของภาษิต ของท่านพระอานนท์ที่ได้รู้แจ้งธรรม ว่า เมื่อศึกษาธรรมแล้วก็ควรที่จะประพฤติ ปฏิบัติตาม พระธรรมวินัย ด้วย

ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมามาก อาจจะ ดูหมิ่นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน้อยแต่ถ้าผู้ที่เล่าเรียนมามากนั้น ไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ที่ได้เล่าเรียนมา ย่อมปรากฏแก่ท่านพระอานนท์เหมือนคนตาบอดถือดวงไฟไป ฉะนั้น เพราะว่า ไม่ได้ประจักษ์ ลักษณะของนามธรรม หรือ รูปธรรม ตามความเป็นจริง

เพียงแต่รู้เรื่องของนามธรรม หรือรูปธรรม ตามที่ได้ฟังก็เหมือนกับ คนตาบอดถือดวงไฟ แต่ไม่เห็นแสงไฟ
ภาษิตของท่านพระอานนท์เถระอุปการะ และ เกื้อกูลให้เกิดศรัทธา และ สติ

สติเพียงชั่วขณะ ก็มีประโยชน์ เมื่อสติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเช่น ขณะที่กำลังเห็น หรือ ขณะที่กำลังได้ยิน ฯลฯ สภาพที่เย็น สภาพที่เป็นสุข สภาพที่เป็นทุกข์ สภาพที่กำลังคิดนึก ฯลฯ แต่ละขณะๆ นั้น มีประโยชน์ทั้งสิ้นจึงไม่ควรประมาทเพราะว่า กุศล คือ ปัญญา แต่ละขณะๆ ที่เกิดขึ้นนั้นย่อมเป็นการสะสม เป็นปัญญา ที่คมกล้า ที่เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่ง เป็นปัญญา ในระดับที่สามารถละคลายกิเลสได้ เป็นสมุจเฉท

ขออนุโมทน

ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์




ความคิดเห็น 1    โดย suwit02  วันที่ 17 ม.ค. 2552

สาธุ

ผมขอเสนอลิ้งค์ ที่กล่าวในกระทู้ ดังนี้ครับ

อานันทเถรคาถา วาดวยความเปนผูทรงธรรม

ผู้ใดเล่าเรียนมามาก ดูหมิ่นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน้อย ด้วยการสดับ แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติ ตามที่เล่าเรียนมา ย่อมปรากฏแก่เราเหมือนคนตาบอดถือดวงไฟไป ฉะนั้น

บุคคลควรเข้าไปนั่งใกล้ผู้ที่ศึกษามามาก แต่ไม่ควรทำสุตะ ที่ตนได้มาให้พินาศ เพราะสุตะที่ตนได้มานั้น เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์


ความคิดเห็น 2    โดย opanayigo  วันที่ 17 ม.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย narong.p  วันที่ 18 ม.ค. 2552

ตามความเข้าใจคือ การศึกษามาก รู้เพียงเรื่องราวของธรรมะมาก แต่ปัญญาไม่ถึงระดับที่สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ก็เหมือนคนตาบอดถือดวงไฟไป ฉันนั้น

ขอให้วิทยากรของมูลนิธิฯให้ความเห็นด้วยครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 18 ม.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้าที่ 324

บทว่า ตเถว ความว่า เหมือนคนตาบอดถือดวงไฟไปในที่มืด เพราะการให้แสงสว่าง จึงเป็นเหตุนำประโยชน์มาให้แก่คนเหล่าอื่นเท่านั้น หานำประโยชน์มาให้แก่ตนเองไม่ฉันใด บุคคลฟังปริยัติจนเป็นผู้คงแก่เรียน ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่เข้าถึงการฟัง ไม่บำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ตน กลับเป็นคนบอด ด้วยการให้แสงสว่างแห่งญาณ จึงนำประโยชน์มาให้แก่คนเหล่าอื่นเท่านั้น ไม่นำประโยชน์มาให้แก่ตนเองเลย ดุจคนตาบอดถือดวงไฟ ย่อมปรากฏแก่เรา ฉะนั้น.

การศึกษาธรรมหากศึกษาเพื่ออยากจะรู้ชื่อเยอะๆ เป็นวิชาการ แต่ไม่เป็นไปเพื่อเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ การศึกษาธรรมเช่นนั้นก็ผิดจุดประสงค์ไม่เป็นไปเพื่อละ หรือขัดเกลากิเลสกลับเพิ่มกิเลส มีโลภะ ความต้องการและมานะที่รู้ชื่อเยอะ เป็นต้น ย่อมไมได้รับประโยชน์จากพระธรรมคือขัดเกลากิเลสและเข้าใจความจริงที่มีในขณะนี้ ก็เหมือนคนตาบอดที่ถือดวงไฟ ไม่ได้รับประโยชน์จากแสงไฟคือพระสัทธรรมเพราะตาบอดด้วยการศึกษาผิดจุดประสงค์ แต่หากศึกษาธรรม ศึกษาปริยัติในส่วนใดของพระไตรปิฎกก็ตามก็เพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ศึกษาเพื่อขัดเกลากิเลส จุดประสงค์ถูกต้อง ย่อมได้ประโยชน์จากพระธรรมคือเริ่มเข้าใจถูกในสภาพธรรมในขั้นการฟัง แม้สติจะยังไม่เกิดก็ตามแต่ก็ค่อยๆ สว่าง สว่างจากความไม่รู้ ย่อมเป็นบุคคลที่ได้ประโยชน์จากดวงไฟที่ถือเพราะตาสว่างเพราะศึกษาในทางที่ถูกต้องคือเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้และเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 5    โดย คุณ  วันที่ 19 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 6    โดย khampan.a  วันที่ 19 ม.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จะน้อยจะมากเพียงใดก็ตาม ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง โดยที่ไม่เข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมทั้งเป็นผู้ตั้งจิตไว้ชอบในการศึกษาพระธรรม ว่าเพื่อเข้าใจตามความเป็นจริง และน้อมประพฤติปฏิบัติตามขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงแต่เพียงฟังเท่านั้น ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้น และที่สำคัญ พระธรรมเป็นสภาพที่ลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้ คิดเอาเองก็ไม่ได้ เป็นธรรมที่เฉพาะบุคคลผู้เป็นบัณฑิตเท่านั้นจะรู้ได้

ดังนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่มีความละเอียดในการฟังพร้อมทั้งใคร่ครวญในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาเมื่อปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห้นถูกเจริญขึ้น สติย่อมได้เหตุได้ปัจจัยที่จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง และอีกประการหนึ่งสำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรม เพราะเหตุว่า กุศลทั้งหลายทั้งปวง ล้วนมาจากการฟังพระธรรมทั้งนั้น ดังนั้น จึงขาดการฟังไม่ได้เลย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 7    โดย เมตตา  วันที่ 20 ม.ค. 2552

ขณะที่ สติ มีปัจจัยเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ละขณะๆ ในขณะนั้นด้วย ความศรัทธาในพระรัตนตรัย
ขณะนั้น เป็นการปฏิบัติบูชา

ปัจจัย ที่สำคัญให้สติเกิดขึ้นก็มาจากการฟังพระธรรม ค่อยๆ พิจารณาให้เกิดความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎอยู่ขณะนี้ เพื่อสังขารขันธ์ปรุงแต่งเป็นปัจจัยให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมและปัญญารู้ตามความเป็นจริงค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย pornpaon  วันที่ 22 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 9    โดย kammatan.com  วันที่ 23 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาด้วยครับ

ความคิดเห็น 10    โดย pamali  วันที่ 22 มิ.ย. 2553

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย chatchai.k  วันที่ 3 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ