นุ่งขาวห่มขาว?
โดย มศพ.  24 ก.พ. 2558
หัวข้อหมายเลข 26228

นโม ตสฺส ภควโต
อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต
อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต
อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ เมื่อเป็นความจริงก็ย่อมจะพิสูจน์ได้ทุกกาลสมัย ธรรมเป็นความจริง ที่จะไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปี ที่ทรงแสดงความจริงเป็นอย่างไร ก่อนหน้านั้นหรือว่าต่อไปในภายหน้าอีกนานแสนนาน ความจริงนี้ก็ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น นี้คือความหมายของธรรม คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด และผู้ที่ทรงแสดงสภาพธรรมได้โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ด้วยพระหฤทัยที่ประกอบด้วยพระมหากรุณาที่มีต่อสัตว์โลก ให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกพ้นจากกิเลส อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงทั้งหมด เป็นไปเพื่อปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด เป็นเหตุเป็นผล ไม่มีคำสอนแม้แต่บทเดียวที่สอนให้ไปทำอะไร ด้วยความไม่รู้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบอกเลยว่า เวลาจะไปพระวิหารไปฟังพระธรรม จะต้องใส่สีขาว หรือแต่งขาว นุ่งขาวห่มขาว ไม่มีเลย จึงน่าพิจารณาว่ามีไหมในพระไตรปิฎก ที่เวลาไปฟังพระธรรมต้องแต่งสีขาว? ไม่มี, ในเมื่อ ไม่มี แล้วอย่างไร? นี้เป็นผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมหรือเปล่า แม้แต่เพียงเรื่องเล็กน้อยก็ไม่มีเหตุผล แล้วเรื่องใหญ่จะมีเหตุผลได้อย่างไร

สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก และเป็นที่น่าพิจารณาเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าจะมีคำว่า “ปฏิบัติธรรม” ปรากฏในคำสอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม แต่เป็นการปฏิบัติผิด ทำตามๆ กัน นุ่งขาวห่มขาวไปทำอะไรที่เหมือนๆ กัน ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจขึ้นของปัญญา ในขณะที่ปฏิบัติผิดนั้น ก็เพิ่มพูนโลภะ ความติดข้องต้องการ และความเห็นผิด ให้เพิ่มขึ้น แท้ที่จริงแล้ว การปฏิบัติธรรม เป็นการอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ คือ รู้นามธรรม และรูปธรรม ตามความเป็นจริง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการศึกษาให้เข้าใจในสภาพธรรม ที่เป็นปรมัตถธรรม โดยประเภทต่างๆ ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมเป็น "เหตุ ปัจจัย" ให้สติและปัญญาเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง โดยที่ไม่เลือกสถานที่ กาลเวลา และไม่มีการเจาะจงที่จะรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

เครื่องแต่งกาย ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกในธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม เพราะ ปฏิบัติธรรม เป็นการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง มีชีวิตเป็นไปตามปกติ ไม่ใช่การไปทำอะไรที่ผิดปกติ สิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันนี้แหละ ถ้าได้สะสมความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ก็สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การฟังพระธรรม กาลสมัยนี้ยังเป็นยุคที่พระธรรมยังดำรงอยู่ บุคคลผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร เผยแพร่พระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ยังมีอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่สะสมบุญมาแต่ปางก่อน เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง ที่จะได้สะสมปัญญา จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาได้ในที่สุด เพราะการที่ปัญญาจะมีมากได้ จนเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นั้น ก็จะต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ประมาทในแต่ละคำที่เป็น วาจาสัจจะ (คำจริง) ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่สีขาวกับอริยมรรค [พราหมณสูตร]

สีเสื้อ กับความเห็นถูก

...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่าน...



ความคิดเห็น 1    โดย papon  วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย nopwong  วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 3    โดย peem  วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย sumek  วันที่ 26 ก.พ. 2558

กราบอนุโมทนาครับท่านอาจารย์


ความคิดเห็น 5    โดย ดวงทิพย์  วันที่ 27 ก.พ. 2558

สาธุขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงคะ