ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท อัมพวา ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
โดย วันชัย๒๕๐๔  22 พ.ย. 2557
หัวข้อหมายเลข 25822

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันพุธ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และ คณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก

ทันตแพทย์ยศยง ตั้งวิชิตฤกษ์ เพื่อไปสนทนาธรรม ณ ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท อัมพวา สมุทรสงคราม

ระหว่างเวลา ๑๓.๓๐ - ๑๖.๐๐ น.

เนื่องจากเป็นการสนทนาธรรมเฉพาะในภาคบ่าย เมื่อข้าพเจ้าและคณะฯ รวม ๓ ท่าน

คือ พี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) และคุณภรรยาของข้าพเจ้า ได้เดินทางไปถึง

เร็วกว่ากำหนดเวลานัดหมายราวสองชั่วโมง และพบว่า ตลาดน้ำอัมพวาในวันธรรมดานั้น

เงียบเหงา ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ร้านรวงทั้งหลายริมน้ำส่วนใหญ่ปิด

จึงได้โอกาสเดินทางไปเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวก ที่อยู่เลยจากอัมพวา ราว ๑๓ กิโลเมตร

ด้วยความมั่นใจว่า ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ซึ่งเป็นตลาดน้ำเก่าแก่ดั้งเดิม

เป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิตชาวไทยในอดีต ที่ชาวต่างชาติรู้จักดีนั้น น่าจะมีตามปรกติทุกวัน

ซึ่งเมื่อเดินทางไปถึง ก็เป็นเช่นที่คิดไว้ แม้จะดูไม่มีนักท่องเที่ยวมากมายนัก

ข้าพเจ้าเคยมาเที่ยวที่ตลาดน้ำแห่งนี้ครั้งสุดท้าย เมื่อราวยี่สิบปีที่แล้วเห็นจะได้

จำได้ว่ามีก๋วยเตี๋ยวหมูเจ้าหนึ่ง ที่ลอยเรือขายอยู่ริมคลอง มีคนนั่งเก้าอี้ถือชามก๋วยเตี๋ยว

รับประทานอยู่ริมตลิ่ง เมื่อไปถึงก็พบว่ามีคุณป้าสูงวัยท่านหนึ่งยังขายอยู่จริงๆ

จึงได้ชวนพี่แดง รับประทานก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ ที่ภัตตาคารลอยลำริมตลิ่งแห่งนี้

พร้อมกับชมวิวตลาดน้ำดำเนินสะดวกอย่างใกล้ชิด เป็นภัตตาคารที่มีแม่ครัววัยขลัง

ลอยเรือปรุงก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ต่อหน้านักท่องเที่ยวและลูกค้าทั้งไทย ฝรั่ง จีน ฮ่องกง ไต้หวัน

ที่แวะเวียนมารอคิวไม่ขาดสาย ดูน่าเอร็ดอร่อย ในบรรยากาศไทยๆ ริมน้ำ

ได้ที่นั่งหน้าร้าน (เรือ) ขายเฉาก๊วยและข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าอร่อย ซึ่งอยู่ติดกันกับ

เรือก๋วยเตี๋ยว ทำเลดีมากนั่งห้อยขาสบายๆ ตามขั้นบันไดปูนริมน้ำ โดยมีออเดิร์ฟ

เป็นข้าวเหนียวมะม่วงและเฉาก๊วยหวานๆ เย็นๆ คนละหนึ่งแก้วระหว่างรอก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ

มะม่วงที่ปลูกที่ดำเนินสะดวกมีรสชาติดีมาก หอมหวาน เป็นเพราะดินแถวนี้อุดมสมบูรณ์ดี

กราบขอบพระคุณพี่แดง เจ้ามือเลี้ยงออเดิร์ฟแสนอร่อย แถมด้วยน้ำตาลมะพร้าวหอมหวาน

อีกสองกิโล และ ปลาทูต้มเค็มร้านแดง ที่แม่กลอง ปลาทูนึ่งที่ตลาดแม่กลองอีกในตอนขากลับ

คุณแอ๊วนภา ที่กรุณาลงไปซื้อจากเจ้าอร่อยในตลาด หน้างอคอหักของแท้แม่กลอง

ไม่ใช่เพียงนั้น หลังจบการสนทนาธรรม ท่านคหบดีแห่งสมุทรสงคราม พี่ประสานและพี่เจี๊ยบ

(รัชนีวรรณ บุญชู) ยังเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเย็นก่อนกลับอีกด้วย ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านครับ

พี่แดงกล่าวกับข้าพเจ้าในรถว่า สำหรับเราๆ บุญที่กระทำให้ผลทันตาในปัจจุบันจริงๆ

สำหรับท่านคหบดี ทานบดี นั้น ให้ได้เห็นถึงอุปนิสัยที่เป็นไปในทานของท่าน ที่สะสมมา

และเห็นผลของทาน ที่ได้รับแล้วในปัจจุบันชาติ ประการสำคัญที่สุดที่ท่านได้รับในชาตินี้

คือ ความเข้าใจพระธรรม อันเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่เป็นที่พึ่งแท้จริงแก่บุคคล ในสังสารวัฏฏ์

ขออภัยที่นำเรื่องของอาหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญกุศลของทุกๆ ท่านในแต่ละที่

มากล่าวก่อนโดยส่วนใหญ่ ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้กล่าวถึงธรรม ที่ท่านอาจารย์สนทนาโดยต่อเนื่อง

ไม่ให้เสียอรรถรสของพระธรรมในตอนท้าย ด้วยว่า ทุกๆ ท่านย่อมทราบดี ถึงกุศลศรัทธา

ของท่านเจ้าภาพทุกๆ ท่าน ที่เตรียมการต้อนรับในการสนทนาธรรมทุกๆ ที่ อย่างประณีตบรรจง

ควรที่จะได้อนุโมทนาในกุศลจิต กุศลศรัทธาของท่าน ด้วยความจริงใจจริงๆ ครับ

หลังรับประทานกลางวันที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ก็ได้เวลาเดินทางมาที่ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท

มีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนการสนทนาธรรม จึงได้โอกาสบันทึกภาพโดยรอบ

พักหนึ่ง พี่แดงเดินมาตามให้ไปดูร้านขายของชำข้างๆ ที่พี่แดงบอกว่า ได้ยินเจ้าของร้าน

เปิดวิทยุฟังท่านอาจารย์อยู่ เสียงดังออกมานอกร้าน ข้าพเจ้าเคยกล่าวกับหลายท่านบ่อยๆ

ว่าตลอดระยะเวลากว่า ๕๐ ปีที่ผ่านมา ที่เสียงของท่านอาจารย์ไปสู่บุคคลต่างๆ ทั่วประเทศ

ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า จำนวนของบุคคล ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่ท่านบรรยาย

มีอีกมากมายสักเท่าใด เพราะท่านเหล่านั้น มีภาระหน้าที่ต่างๆ กัน ไม่เคยได้เห็นหน้ากัน

แต่ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด เมื่อเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม

ทั้งเป็นผู้ที่ได้เคยสะสมบุญไว้แต่ปางก่อน เสียงของพระธรรมที่ถูกต้อง ย่อมเป็นสาระเดียว

ที่ท่านเหล่านั้น จะมีความอดทน มีความเพียร ในการที่จะได้ฟังโดยสม่ำเสมอ

เมื่อมีโอกาสได้พบเจอท่านเหล่านั้น ย่อมมีความรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เพราะเหตุว่า เมื่อเริ่มเข้าใจ ย่อมรู้ว่าโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมนั้น ยากอย่างยิ่ง

และแม้ได้ฟังแล้ว ก็ยากที่จะเข้าใจได้

ถ้าไม่ได้เป็นผู้ที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน จะไม่มีโอกาสแม้จะได้ยิน ได้ฟังเลย

ทั้งรู้สึกกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์และท่านที่เกี่ยวข้องในการเผยแพร่พระธรรม

ทั้งท่านผู้มีศรัทธาและเห็นประโยชน์ด้วยการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่พระธรรม

ทางวิทยุกระจายเสียง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แก่ชนหมู่มาก ให้มีโอกาสใกล้ชิดพระธรรม

ส่วนบางบุคคล แม้จะเจอเสียงของพระธรรมที่ถูกต้องแล้ว ก็ยังเป็นผู้ใฝ่หาหนทางอื่นอีก

แสดงให้เห็นถึงกำลังของความเข้าใจความจริง ที่สะสมมาน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย

ซึ่งก็เป็นปรกติของผู้ที่ไม่ได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกมาก่อนเลยในสังสารวัฏฏ์

และ ยังเป็นผู้ที่ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

แม้ว่าจะกล่าวคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ,ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ,

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ อยู่บ่อยๆ ว่าขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ของคำกล่าวนั้นเลย

ยังเป็นบุคคลที่หาที่พึ่งไม่ได้เหมือนเดิม ซัดส่ายไปทางโน้นที ทางนี้ที

ฟังแต่คำของคนอื่น ที่ไม่ทำให้เข้าใจความจริง ที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้

หลงไปกับคำสอนให้เกิดความเห็นผิด และความติดข้องต้องการ

และ เป็นตัวตน ด้วยความไม่รู้

ถ้าเป็นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง ต้องเป็นไปเพื่อการละตั้งแต่ต้น

ไม่ใช่เพื่อที่จะได้ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น และ ประการที่สำคัญ

ต้องเป็น "คำ" ที่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ได้ถูกต้อง

ไม่ต้องไปแสวงหา ไม่ต้องไปปฏิบัติ ไปทำอะไรที่ผิดไปจากปรกติในขณะนี้เลย

เพราะขณะนี้ ก็มีธรรมะ แต่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ

มีเพียงหนทางเดียว คือ "ฟัง" เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้

ไม่มีหนทางอื่น

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความ ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวในตอนต้นของการสนทนาในวันนั้น

เป็นความไพเราะอย่างยิ่ง สำหรับบุคคลที่สนใจในพระศาสนา และแสวงหาคำสอนที่ถูกต้อง

ไม่หลงไปในคำสอนของคนอื่น ที่แอบอ้าง กล่าวตู่ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่กล่าวเอาเอง จากความคิดของตนๆ หากฟังและพิจารณาด้วยเหตุผลจริงๆ ย่อมทราบได้

ข้าพเจ้าขอยกวลีหนึ่งที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ในวันนั้น มาเป็นข้อคิดแก่ทุกท่านว่า

"...การฟังพระธรรม จะได้ประโยชน์จริงๆ ต่อเมื่อ ฟังด้วยความเคารพ ว่าเราไม่รู้..."

และ

"...การศึกษาพระธรรม ต้องโดยสำนึก ว่าเราเป็นใคร? เรามีกิเลสมากไหม?

และ พระธรรม ทำให้หมดกิเลสได้ ด้วยอะไร?

ต้องด้วย ปัญญา..."

เชิญทุกท่าน สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกจากการฟังและสนทนาธรรม

อันเป็นการอบรมปัญญาคือความเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ให้เจริญขึ้น

ซึ่งเป็นหนทางเดียว ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องได้

เมื่อเริ่มเข้าใจในความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ โดยถูกต้อง

ย่อมรู้ว่า ไม่มีใครที่จะเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม นอกจากปัญญาเกิดขึ้นปฏิบัติกิจของปัญญา

ด้วยความเป็นอนัตตา หาใช่ด้วยความเป็นตัวตนที่จะไปบังคับบัญชาสิ่งใดได้เลย

คำพูดที่ว่า

"เพียงฟัง และ เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง"

จึงเป็นคำพูดที่ดูเหมือนง่ายๆ แต่มีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่ง เมื่อได้มีความเข้าใจขึ้น ตามลำดับ

ท่านอาจารย์ ทุกคน ก็ได้ยินคำว่า

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

ก็เข้าใจความหมาย ใช่ไหม?

ข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง

ขอถึงพระสงฆ์ คือ พระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

ต้อง "ตรง" เพราะเหตุว่า ธรรมะ เป็น "เรื่องจริง" เป็น "เรื่องตรง"

ผู้ที่จะ "ถึง" ความเข้าใจธรรมะ ได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง แล้วก็มีความเข้าใจถูกต้อง

ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือใคร?

ยากที่ใครสามารถที่จะรู้ในพระคุณ ในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ

ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วเราเป็นใคร?

ข้อสำคัญที่สุด เราไม่รู้อะไรเลย แน่นอน

ถ้ารู้ เราก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ต้องอาศัย "การฟัง"

แต่ ยิ่งฟัง ก็ยิ่งเข้าใจถูกต้อง

ถึงความห่างไกล ของผู้ที่มากด้วยกิเลส

ใครคะ? มากด้วยกิเลส?

"ทุกคน"

ซึ่งขณะนี้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะเลย เราจะพูดคำที่เราไม่รู้จักเลย แน่นอน

ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าคำไหนทั้งสิ้น

แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็เริ่มรู้คุณค่า ของการที่มีโอกาส แม้ได้ฟัง

แต่ว่า ได้ฟังแล้ว ก็ต้องเคารพในผู้ที่กล่าวด้วย

เพราะว่าผู้นั้น ไม่ใช่ธรรมดา

แม้แต่เทพ หรือ พรหม ก็ต้องมานมัสการ กราบไหว้ บูชา ในพระปัญญาคุณ

เพราะฉะนั้น "แต่ละคำ" ที่ทรงแสดงพระธรรม

ตลอดตั้งแต่ตรัสรู้ จนกระทั่งถึงใกล้ที่จะปรินิพพาน ๔๕ พรรษา

"ทุกคำ" เป็น "คำ" ของผู้ที่ตรัสรู้

ทุกคำ เป็น "ปัญญา" ที่จะทำให้สามารถที่จะเข้าใจความจริง

ซึ่งไม่มีใครในสากลจักรวาล สามารถที่จะ "คิดเอง" หรือ "เข้าใจเอง" ได้


เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบ ความห่างไกลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ เรา

เพื่อที่จะได้มีความนอบน้อม เคารพ อย่างยิ่ง ใน "แต่ละคำ" ที่มีโอกาสจะได้ฟัง

เพราะว่า เป็นสิ่งซึ่งกล่าวถึง สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้

ใครเลยจะคิดว่า ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้

เราดูเหมือนธรรมดา

แต่ สิ่งที่ว่าเป็นธรรมดานี้

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม

เพื่อ เข้าใจถูก

ในสิ่งซึ่ง ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ในสังสารวัฏฏ์

เกิดมา มีชีวิตอยู่ เพลิดเพลิน สนุกสนาน

เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์

ชีวิตสั้นมาก เหมือนนาน

แต่ความจริง ทุกคน ต้องจากโลกนี้ไป แน่นอน

ด้วยความไม่รู้

ไม่รู้จักสิ่งที่มี ตลอดชีวิต ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม

เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่สำนึก ในความเป็นผู้ที่มากด้วยกิเลส

แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงหนทาง

ให้ผู้ที่มากด้วยกิเลส ค่อยๆ เข้าใจ

จนกระทั่ง สามารถที่จะดับกิเลสได้

หมายความว่า กิเลสที่ดับแล้ว ไม่เกิดอีกเลย

ยาก หรือ ง่าย?

คะ?

ใครคิดว่าง่าย ชาตินี้ ก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

ผู้นั้น ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แน่นอน

เพราะฉะนั้น "แต่ละคำ"

เป็น "คำ" ที่เราไม่ประมาท ในความลึกซึ้ง ของแต่ละคำที่ได้ยิน

เช่น คำว่า "ธรรมะ"

ไม่ใช่ภาษาไทย

แต่คนไทยก็ชอบใช้คำภาษาอื่น

โดยที่ว่า เราก็ไม่ได้เข้าใจความหมายนั้น จริงๆ

โดยเฉพาะคำที่ผู้มีปัญญาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัส

คำนั้น ต้องเป็นคำที่คนอื่น ไม่สามารถที่จะฟังเผินๆ แล้วก็คิดว่า เข้าใจแล้ว หรือว่า เข้าใจได้

แต่ ต้องไตร่ตรอง

แล้วก็รู้ว่า แต่ละคำที่ได้ยิน ปัญญาของเรา ถึงระดับไหน?

เพียงแค่ได้ฟัง และ กว่าจะเข้าใจ

และ กว่าจะรู้ว่า สิ่งนี้แหละ มีจริงๆ และ การตรัสรู้ความจริงนั้น คือ อย่างไร

นี่คือ ผู้ที่ไม่ประมาท ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ด้วยเหตุนี้ แม้แต่คำเดียว "ธรรมะ" คือ อะไร?

ถ้าเราไม่ได้ฟังจริงๆ ไม่ได้ไตร่ตรอง

คิดกันเอง คิดกันไป คิดกันมา

เดี๋ยวได้ยินคำนั้นบ้าง ยุติธรรมบ้าง ปาปธรรมบ้าง หรืออะไรก็ตามแต่

ก็เดากัน

แต่ว่า ตามความจริง

ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีจริง

ถ้าไม่มี จะมีประโยชน์อะไรไหม? ที่เราจะต้องมานั่งฟังธรรมะ?

แต่ เพราะเหตุว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง

แต่ยาก

ถ้าจะถามใครว่า เดี๋ยวนี้!! อะไรมีจริง?

ก็ตอบยาก

ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนเลย ตอบไม่ได้แน่นอน

ตอบไปคนละเรื่องกับความจริงของสิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ความจริง มี ไม่ใช่เฉพาะเดี๋ยวนี้

นาน แสนนานมาแล้ว ก็มีสิ่งที่มีจริง และ ความจริงนี้ ก็จะมีตลอดไป

ไม่ว่าต่อไปข้างหน้า หรือ แม้แต่ในขณะนี้

สิ่งที่มีจริง ก็ต้องมีจริง

เพราะฉะนั้น จะหาความจริง ที่ว่ามีจริงนี้ ได้ที่ไหน?

คะ?

มีคำตอบไหม?

ผู้ฟัง ที่กาย

ท่านอาจารย์ ที่กายหรือคะ? ค่ะ ที่กาย ที่ใจ

เมื่อไหร่คะ? ที่กาย ที่ใจ แล้วยัง

เมื่อไหร่อีก?

ผู้ฟัง เมื่อมีสติ ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ยังไม่รู้จักสติเลยค่ะ ยังไม่รู้จักสติเลย

พูดคำที่ไม่รู้จัก

กาย คือ อะไร? ใจ คือ อะไร? สติ คือ อะไร?

พูดแล้ว แต่คำตอบที่แท้จริง แม้แต่คำว่า "กาย" แสนธรรมดา ใช่ไหม?

ทุกคน เหมือนกับว่า มีร่างกาย แต่ไม่รู้ว่า "กาย" คือ อะไร?

เพราะฉะนั้น คำว่า "กาย" หรือ "กา-ยะ" คือ อะไร?

ไม่ใช่ภาษาไทย นะคะ ทั้งหมดมาจากคำภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่พระผู้มีพระภาคฯ

ตรัสแสดงธรรมะ กับชาวมคธ ซึ่งใช้ภาษานั้น

แต่ความลึกซึ้ง ไม่ใช่เฉพาะคำ

ความลึกซึ้ง คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งใช้คำว่ากาย แต่ว่า ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า กาย คือ อะไร?

เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรมจริงๆ

ก็จะนำมา ซึ่งความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มี

ตั้งแต่ขั้นการฟัง ตามลำดับ

จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้จริงๆ ถึงการตรัสรู้

ว่า ทุกคำที่ทรงแสดง

จากการตรัสรู้ว่า ทุกอย่างที่มีจริง ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้

และ มีเมื่อไหร่?

ถ้าไม่เกิดขึ้น จะมีไหม?

ขณะที่ "เห็น" ไม่ใช่ขณะที่ "คิด"

เพราะ "คิด" ไม่ได้เกิดขณะนั้น แต่ "เห็น" เกิด

และ ขณะที่ "คิด" เฉพาะขณะที่คิดจริงๆ "เห็น" ก็ไม่ได้เกิด แต่ "คิด" เกิด

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อเกิด

พอไหม? แค่นี้?

ไม่มีทางพอเลย

แล้วเกิดมาได้อย่างไร? เห็นไหม?

ทุกอย่าง มีคำตอบ

เพราะว่า ทรงแสดงพระธรรม โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิง

ให้ไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นความเข้าใจ

จากการที่ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย ทั้งสิ้น

แต่ว่า พอได้ฟังแล้ว ก็เห็นความห่างไกล

ระหว่าง ความรู้ กับ ความไม่รู้

แล้วก็เทียบไม่ได้เลย ถ้าพระผู้มีพระภาคฯ ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมี

ให้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จะไม่ทรงแสดงพระธรรม โดยละเอียด ถึงสิ่งที่ละเอียดอย่างยิ่ง

เช่น สภาพธรรมะเดี๋ยวนี้ ทีละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย

ไม่ว่าจะเป็น "คำ" ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งหมด ก็ด้วยความไม่เข้าใจ

เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรม ต้องโดยสำนึก ว่าเราเป็นใคร?

เรามีกิเลสมากไหม?

และ พระธรรม ทำให้หมดกิเลสได้ ด้วยอะไร?

ต้องด้วย "ปัญญา" ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

เพราะขณะใดก็ตาม ที่ไม่รู้ ขณะนั้น ไม่รู้จริงๆ

แล้วจะไปละกิเลสได้อย่างไร?

เพราะว่า เพราะไม่รู้ จึงมีกิเลส

ถ้ารู้แล้ว ค่อยๆ ละคลายกิเลส

จนกระทั่ง สามารถที่รู้ถึงการประจักษ์ความจริง ของสภาพธรรมะ

ตรงตามที่สาวก คือ ผู้ฟัง

ได้ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็ อบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

จนกระทั่ง สามารถที่จะดับกิเลสได้

เพราะฉะนั้น วันนี้ "ฟัง" สิ่งซึ่งอาจจะบางคน ไม่เคยฟังมาก่อน

สำหรับคนที่ฟังแล้ว ความเข้าใจยังไม่พอ

เพราะว่า ผู้ที่เคยฟังแล้วในอดีต ไม่ได้ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว

ก่อนที่จะได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อได้รับคำพยากรณ์ จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ในอดีต

สี่อสงไขยแสนกัปป์มาแล้ว สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้

เป็นสุเมธดาบส ซึ่งมีความปรารถนา ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

ซึ่งแสนยาก

ตั้งความปรารถนาแล้ว ก็ต้องได้รับการพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์ใด พระองค์หนึ่ง ที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปในกาลข้างหน้า

ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร ก็ได้ทรงพยากรณ์ สุเมธดาบส คือ พระโพธิสัตว์

ซึ่งจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ว่า

อีกสี่อสงไขยแสนกัปป์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม

แล้วเราเป็นใคร?

จะเก่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ต้องฟังพระธรรม อบรมมา

ผ่านพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมทั้งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ถึง ๒๔ พระองค์

กว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

บำเพ็ญพระบารมี เหนือบุคคลใดมหาศาล ทีละหนึ่งพระองค์ กว่าจะได้ตรัสรู้

แล้วเราเป็นใคร?

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม จะได้ประโยชน์จริงๆ ต่อเมื่อ

ฟัง ด้วยความเคารพ ว่าเราไม่รู้

สิ่งที่ปรากฏที่มีจริง กว่าจะรู้ได้ อบรมนานแค่ไหน?

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขยแสนกัปป์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๒ อสงไขยแสนกัปป์

ท่านพระสารีบุตร ๑ อสงไขยแสนกัปป์

แล้วเราเป็นใคร?

เพราะฉะนั้น มีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟัง

เพื่อ

ฟังไว้ เข้าใจไว้ สะสมไว้

เพราะ ไม่ใช่เรา ที่จะดับกิเลส

ต้องเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จริงๆ

ซึ่ง ธรรมะทั้งหมด ที่พระผู้มีพระภาคตรัส ประมวลได้ตั้งแต่ต้น คือ

ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหลาย เป็นอนัตตา

อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เราเข้าใจว่าเที่ยง

เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นสัตว์

แต่เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งหลากหลายมาก มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

เพราะฉะนั้น กว่าจะคลายการยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นเรา ได้

ก็ต้องอาศัย "การฟัง" ด้วยความมั่นคง

ด้วยความเข้าใจ ที่รู้ตามความเป็นจริงว่า

เราเข้าใจแค่ไหน?

เพราะ "ไม่ใช่เรา" ดับกิเลส

"ปัญญา" ที่มีการค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ ละคลาย การยึดถือ

จนกระทั่ง สามารถที่จะเข้าใจ "ลักษณะ" ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้

"อีกนาน" กว่าจะได้ "ประจักษ์ความจริง" ซึ่งใช้คำว่า "วิปัสสนา"

หมายความถึง "ปัญญา" ที่ประจักษ์แจ้งลักษณะ ของสภาพธรรมะ

"ไม่ใช่เรา"

ไม่ใช่เราไปทำอะไร แล้วเราก็สามารถที่จะไปรู้ การเกิดดับหรือความจริง ของสภาพธรรมะ

เพราะขณะนั้น ไม่มีความเข้าใจว่า ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา

ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สติด้วย

เพราะเหตุว่า ปัญญาเป็นปัญญา สติเป็นสติ

สภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง แยกกัน ไม่มีใครสามารถที่จะไปทำให้ปะปนกันได้

ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะละคลายการยึดถือว่า อัตตา โต๊ะ เก้าอี้ คน สัตว์

รวมกันแล้ว

แต่ความจริง ถ้าแยกแล้ว ก็เป็นสภาพธรรมะ แต่ละหนึ่ง

เพราะฉะนั้น การฟังแต่ละครั้ง เป็นมงคลอันประเสริฐหรือว่าสูงสุด หนึ่งประการ

ที่จะทำให้ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก

ฟังพระธรรมแล้ว จะรู้ได้

(ว่า) นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ คำของคนอื่น

เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นคำของคนอื่น ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ให้ถูกต้องเลย

เพราะฉะนั้น จะละความไม่รู้ได้อย่างไร?

จะคลายการยึดถือสภาพธรรมะ ที่เคยยึดถือมาแล้วว่าเป็นตัวตน ได้อย่างไร?

ถ้าเป็นคำของคนอื่น "ให้ทำ" แล้วก็จะได้

แต่ "ไม่มีปัญญา" ที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้เลย

ซึ่งความจริง ชีวิต ก็ดำรงอยู่เพี่ยงชั่วหนึ่งขณะ แล้วก็ดับไปเรื่อยๆ แล้วก็เกิด

มีปัจจัยสืบต่อ ในสังสารวัฏฏ์

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ด้วยความเข้าใจถูก

จะทำให้ผู้นั้น มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง อย่างมั่นคง คือ ไม่ฟังคำของคนอื่น

เพราะรู้ว่า คำของคนอื่น ไม่ทำให้เข้าใจอะไรเลย

มีแต่ให้ความต้องการเกิดขึ้น

เป็นตัวตน

แม้แต่จะดับกิเลส ก็คิดว่าทำได้

โดยที่ว่า ไม่เข้าใจความต่างกัน ของ ความรู้ กับ ความไม่รู้ ในขณะนี้

เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังด้วยความเคารพ

เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง

สามารถที่จะค่อยๆ พิจารณา ไตร่ตรอง

จนกระทั่งรู้ว่า

คำใด เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ คำใด ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ



ความคิดเห็น 1    โดย peem  วันที่ 22 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย napachant  วันที่ 22 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 22 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 22 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย orawan.c  วันที่ 23 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย ch.  วันที่ 23 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย tee  วันที่ 23 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย pulit  วันที่ 24 พ.ย. 2557

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริย ของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง และ ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 24 พ.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพและผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกๆ ท่านครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริย ของคุณวันชัยมา ณ กาลครั้งนี้ครับ

ได้อรรถรสครบถ้วนเช่นเคย ชอบคำท่านอาจารย์ที่คุณวันชัยนำมาลงประโยคนี้เป็นพิเศษครับ

"การฟังพระธรรม จะได้ประโยชน์จริงๆ ต่อเมื่อฟัง ด้วยความเคารพ ว่าเราไม่รู้"


ความคิดเห็น 10    โดย khampan.a  วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพและผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกๆ ท่านครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 11    โดย Sam  วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย j.jim  วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย ปวีร์  วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าท่านอาจาร์ที่เคารพอย่างสูงครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย Patikul  วันที่ 25 พ.ย. 2557
ขออนุโมทนาค่ะ