ไม่ควรลืมเตือนตัวเองหรือผู้อื่นที่กำลังศึกษาพระธรรมว่า ศึกษาทำไม นี่สำคัญที่สุด ถ้าศึกษาเรื่องของจิตเจตสิกและรูปมาก แต่ ไม่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน จะมีประโยชน์ไหม รู้แต่เรื่องของจิต ของเจตสิก ของรูป แต่ไม่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ในขณะที่กำลังเห็น ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่เรียนได้ เพราะว่า สติไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ศึกษาเป็นเรื่องมาแล้วว่า จักขุวิญญาณมีกี่ดวง ทำกิจอะไร เกิดเมื่อไร
รับฟัง ... ศึกษาทำไม นี่สำคัญที่สุด
ถ. การศึกษาเรื่องจิตต่างๆ ไม่ใช่ศึกษาเพื่อจะรู้ จำเอาไปพูด ไปสนทนากันเฉยๆ แต่เป็นเรื่องที่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติ หมายความว่า ในการปฏิบัติเราต้องรู้ ต้องเข้าใจในนามธรรม คือ จิตเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ตามที่สติปัญญาสามารถจะรู้ได้
สุ. นี่เป็นข้อที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ควรลืมเตือนตัวเองหรือผู้อื่นที่กำลังศึกษาพระธรรมว่า ศึกษาทำไม นี่สำคัญที่สุด ถ้าศึกษาเรื่องของจิตเจตสิกและรูปมาก แต่ ไม่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน จะมีประโยชน์ไหม รู้แต่เรื่องของจิต ของเจตสิก ของรูป แต่ไม่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน
เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็น ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่เรียนได้ เพราะว่า สติไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ศึกษาเป็นเรื่องมาแล้วว่า จักขุวิญญาณมีกี่ดวง ทำกิจอะไร เกิดเมื่อไร
จะเห็นได้ว่า การศึกษาของพุทธบริษัทในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานนั้น ศึกษาเพื่อเกื้อกูลต่อการเจริญสติปัฏฐาน เพราะเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็รู้ว่า สัจธรรม สภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏนั้น เป็นสิ่งที่ควรศึกษา โดยพิสูจน์ โดยแทงตลอด โดยประจักษ์แจ้งในลักษณะสภาพธรรมนั้นๆ ว่า ตรง เป็นจริงตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงประจักษ์และได้ทรงแสดงไว้
เพราะฉะนั้น การฟัง หรือการศึกษาปรมัตถธรรม เพื่อเกื้อกูลให้เห็นความ เป็นอนัตตาของสภาพธรรม เพื่อให้สติระลึกได้ในขณะที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง มิฉะนั้นจะไม่มีประโยชน์เลย
การศึกษาทั้งหมด ถ้าไม่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าจะศึกษาเรื่องเหล่านั้นไปทำไม [ตอนที่ 1518]