ธรรมะเหล่าใด [ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนั้นขณะนั้น]
โดย เมตตา  18 ก.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50429

[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม 1 ภาค 1 - หน้า 272

ลำดับนั้น อุปติสสปริพาชก จึงถามพระเถระนั้นว่า ก็พระศาสดาของท่านผู้มีอายุ มีวาทะอย่างไร กล่าวอย่างไร. พระเถระคิดว่า ธรรมดาปริพาชกทั้งหลายนี้ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปริพาชกนี้ เมื่อจะถ่อมตนว่า เรายังเป็นผู้ใหม่จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ เราแลเป็นผู้ใหม่บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่มาสู่พระวินัยนี้ เราไม่อาจแสดงธรรมโดยพิสดารได้ก่อน. ปริพาชกคิดว่า เราชื่อว่า อุปติสสะ ท่านจงกล่าวน้อยหรือมากตามความสามารถ การแทงตลอดธรรมนั่นด้วยร้อยนับพันนัย เป็นภาระของเรา จึงกล่าวว่า

อปฺปํ วา พหุํ วา ภาสสฺสุ อตฺถํเยว เม พฺรูหิ

อตฺเถเนว เม อตฺโถ กึ กาหสิ พฺยญฺชนํ พหุํ

ท่านจงกล่าวเถิด น้อยก็ตามมากก็ตาม จงกล่าวเฉพาะแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความเท่านั้น. ท่านจะทำพยัญชนะให้มากไปทำไม.

เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเถระจึงกล่าวคาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺ ปภวา (ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด) ดังนี้เป็นต้น. ปริพาชกฟังเฉพาะ ๒ บทแรกเท่านั้น ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคอันสมบูรณ์ ด้วยนัยพันหนึ่ง. ทำ ๒ บทหลังให้จบลง ในเวลาเป็นพระโสดาบันแล้ว.


ท่านอาจารย์: เมื่อท่านผู้อื่นกล่าว คุณอรรณพจะได้ทำหน้าที่ของผู้ฟัง และท่านอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ของผู้ฟัง ฟังสิ่งที่คนอื่นกล่าว จะมากจะน้อยประการใดก็ตาม แต่พิจารณาไตร่ตรองเห็นความลึกซึ้ง และความจริงของสิ่งนั้น

อ.อรรณพ: กราบที่สุดครับที่ท่านอาจารย์ที่ท่านอาจารย์กล่าวตามเพิ่มเติม ต่อให้ใกล้ชิดเข้าไปอีกครับ ยินดีครับที่จะทำหน้าที่ของผู้ฟัง เชิญ อ.คำปั่นครับ

ท่านอาจารย์: ตอนนี้หน้าที่ของผู้พูดแล้วนะ จะพูดประการใดสนทนาธรรม

อ.คำปั่น: ก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งกับคำที่ไพเราะจับใจอย่างยิ่ง หน้าที่ของผู้ฟัง จริงๆ ก็ได้กล่าวข้อความนี้ได้อ่านข้อความนี้ผ่านข้อความนี้มาก็หลายครั้งครับ แต่วันนี้ซาบซึ้งอย่างยิ่ง มีข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง ซึ่งกระผมก็มั่นใจครับว่าทุกท่านคงจะเป็นเช่นเดียวกันว่า ซาบซึ้งอย่างยิ่งกับคำที่ไพเราะจับใจอย่างยิ่ง ก็คือ หน้าที่ของผู้ฟัง เพราะว่าผู้กล่าวก็กล่าวจะมากจะน้อยก็เป็นหน้าที่ภาระของผู้กล่าว แต่ผู้ฟังมีหน้าที่ ก็คือฟังคำที่ผู้กล่าวกล่าว

ก็เห็นเลยครับว่า ท่านพระอัสสชิกล่าวคาถา ๑ คาถา ซึ่งเพียงแค่ ครึ่งคาถาคือกึ่งเดียว ถ้านับเป็นคำก็เพียงแค่ ๑๖ คำ ก็เป็นเหตุทำให้ท่านอุปติสสะได้รู้แจ้งธรรมะถึงความเป็นพระโสดาบัน เพียงแค่ครึ่งหนึ่งก็คือข้อความที่ว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต นี่คือ ๑๖ คำ คำแปลก็คือ ธรรมะเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมะเหล่านั้น นี่คือกึ่งคาถา หรือว่าครึ่งคาถาที่เป็นเหตุทำให้ท่านอุปติสสปริพาชกถึงความเป็นพระโสดาบัน แล้วท่านพระอัสสชิก็กล่าวอีกครึ่งหนึ่งหลังจากที่ท่านอุปติสสะได้รู้แจ้งธรรมะถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็คือ เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ ซึ่งก็เนื่องกับกึ่งคาถาด้วยครับ ก็คือ พระตถาคตนอกจากจะแสดงเหตุของธรรมะเหล่านั้นแล้ว พระองค์ก็ยังทรงแสดงถึงความดับของธรรมะเหล่านั้นด้วย พระสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้ ครับ ซึ่งในกึ่งคาถาหลังนี่ครับมี ๑๗ คำครับ เพราะว่าในบางบาทคาถาบางทีในส่วนของปัฐยาวัตรก็มี ๘ คำบ้าง มี ๙ คำบ้าง ในส่วนของบาทคาถาสุดท้ายมี ๙ คำ เอวํวาที มหาสมโณ มี ๙ คำครับ เตสญฺจ โย นิโรโธ จ กึ่งข้างหน้ามี ๘ คำ

เพราะฉะนั้น แต่ละคำๆ เป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งหมดเลยครับ ซึ่งในคาถาในข้อความที่เป็นประโยชน์นี้ที่ท่านพระอัสสชิกล่าวเกื้อกูลอุปติสสปริพาชก ก็แสดงถึง สัจจะทั้ง ๔ เลยครับ ทั้งทุกข์ ทั้งเหตุแห่งทุกข์ ทั้งความดับทุกข์ แล้วก็หนทางที่ทำให้ถึงความดับทุกข์ อยู่ในคาถานี้ เลยครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า แต่ละคำๆ ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งที่จะข้ามไม่ได้จะผ่านไปไม่ได้เลยจริงๆ ครับท่านอาจารย์ครับ แม้แต่ข้อความแรก ก็คือ ธรรมะเหล่าใดเกิดแต่เหตุ ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าไตร่ตรองจะเห็นประโยชน์แม้เพียงที่ท่านพระสารีบุตรกล่าว แล้วเราถึงแค่ไหน หน้าที่การฟังเทียบกับอุปติสสมานพ ฟังกี่คำ? ลองกล่าวอีกครั้งซิคะที่จะทำให้ท่านเป็นพระโสดาบัน

อ.คำปั่น: เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต แค่นี้ท่านก็เป็นพระโสดาบันแล้วครับ ธรรมะเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมเหล่านั้น ครับ นี่คือครึ่งหนึ่งของคาถานี้ครับ

ท่านอาจารย์: ธรรมะเหล่าใด ฟังแล้วไม่สะสมที่จะไตร่ตรองความหมายของคำว่า ธรรมะ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ขณะอื่นเลย เห็นไหม ปัญญาต่างกัน เพราะว่าพูดอีกภาษาก็คือ ธรรมะที่มีจริงขณะนั้น ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไม่ว่าอะไรทั้งหมดไม่ใช่เป็นเพียงคำ แต่ หนึ่งๆ ๆ ๆ ที่มีในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น ผู้พูดจะพูดกี่คำ ผู้ฟังพิจารณาไตร่ตรองได้หลายนัยยะ แล้วแต่ว่าจะไตร่ตรองอย่างไร มีปัญญาแค่ไหนที่จะไตร่ตรองแต่ละคำที่ได้ฟัง นั่นแหละ ธรรมะทั้งนั้น แม้แต่ความรู้สึกขณะนั้นมี นั่นแหละ ธรรมะทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนั้นขณะนั้น ก็คือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ฟังที่จะเข้าใจถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งความละเอียดอย่างยิ่งว่า ตรงนั้นเองที่มีที่ปรากฏ จึงสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงได้ จึงรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งอย่างนี้ จึงตรัสอย่างนี้เพราะความจริงได้ปรากฏกับท่าน

อ.คำปั่น: ความจริงปรากฏกับท่าน ท่านก็สะสมมาพร้อมแล้วที่จะได้รู้แจ้งความจริงในฐานะที่จะได้เป็นพระอัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญาด้วยครับ

ท่านอาจารย์: เร็วมากแค่ไหน แค่ขณะนั้น ธรรมะเหล่าใด ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อ แต่ปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งในลักษณะที่แท้จริงของธรรมะเหล่านั้น จนกระทั่งประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป จนกระทั่งประจักษ์การที่ธรรมะนั้นดับไป จึงรู้ว่า พระตถาคตเป็นผู้ตรัสคำนี้ที่พระองค์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว เพราะท่านได้ประจักษ์แจ้งแล้ว เร็วแค่ไหน? เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเร็วจนเราไม่สามารถจะรู้ได้ แค่ลืมตามา ทำไมมีสิ่งต่างๆ มากมายมหาศาล และช่วงขณะที่ท่านพระสารีบุตรฟังและสามารถที่จะมีปัญญาที่ถึงเวลาที่จะรู้ความจริงโดยละเอียดอย่างยิ่งที่ ไม่ใช่อย่างที่มารวมกันอย่างนี้ ในขณะนั้นที่ยังไม่ได้รวมกัน ปรากฏแต่ละหนึ่งชัดเจนในเวลาที่เร็วแค่ไหน เพราะว่าขณะนี้ คิดดู เหมือนสิ่งต่างๆ ปรากฏพร้อมกันมหาศาล ดอกไม้ หน้าต่าง ประตู โต๊ะ จอโทรทัศน์ อะไรต่ออะไร ปรากฏทันทีที่ลืมตา

เพราะฉะนั้น ช่วงที่สั้นขนาดนั้นแค่ไหน!! ธรรมะจริงๆ ได้ปรากฏกับท่านจนประจักษ์แจ้งความจริง จากระดับของการที่ได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง จนถึงกิจของปัญญาที่เกิดขึ้นรู้ความละเอียดจนกระทั่งประจักษ์แจ้ง ท่านจึงได้กล่าวว่า พระตถาคตได้ตรัสคำนี้เพราะได้ประจักษ์แจ้ง และตัวท่านเองก็ได้ประจักษ์แจ้ง จึงรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสคำที่พระองค์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว เร็วแค่นั้น เห็นไหม?

เหมือนขณะนี้ ลืมตาขึ้นมามีทุกอย่างแล้ว แต่นั่นสามารถจะรู้ถึงความเร็วของแต่ละหนึ่งธรรมะที่ปรากฏจนประจักษ์แจ้งความจริง

อ.คำปั่น: ท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับท่านอาจารย์ครับ ซึ่งทั้งหมดที่ได้ฟังก็อุปการะเกื้อกูลอย่างยิ่งในการที่จะได้ค่อยๆ เข้าใจในความเป็นจริงของธรรมะครับ

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..

กล่าวมากก็ตามน้อยก็ตาม จงกล่าวเฉพาะแต่ใจความ [เอกนิบาต]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ก.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 21 ก.ค. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง