จะไปหาจิต...หาได้ที่ไหน
โดย พุทธรักษา  12 ส.ค. 2551
หัวข้อหมายเลข 9556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการถอดเทปวิทยุ
โดย คุณสงวน สุจริตกุล

ท่านอาจารย์สุจินต์ กรุณาอธิบายเรื่องจิตไว้ว่า

ถ้าคิดถึงภาษาไทย คำว่า"จิต"หรือคำว่า"ใจ"ก็เหมือนกับว่าทุกท่านเข้าใจดี...เพราะว่าทุกท่าน มีจิต มีใจ แต่ว่า นั่นเป็นเพียง ความคิดเรื่องจิตไม่ใช่ การรู้ลักษณะที่แท้จริงของจิต เพราะว่า ท่านยังยึดถือจิตใจของท่าน ว่า เป็นเราแต่ความเป็นจริง ให้ทราบว่า จิต เป็นเพียง สภาพรู้

มีใครสามารถจะค้นหา "สภาพรู้" นี้ได้ไหม บางท่าน ที่ต้องการวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร สิ่งของมีค่า เพชรนิลจินดาต่างๆ ท่านก็รู้แหล่งที่จะพบ ที่จะค้นหาได้ ว่าจะพบวัตถุสิ่งนั้นได้ที่ไหน แต่ว่าท่านจะหา "จิตใจ" พบไหม จะไปหาจิต หาได้ที่ไหน เพราะว่า จิต เป็นเพียงสภาพรู้ที่เกิดขึ้น รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ แล้วก็ดับหมดไปทันที นี่คือ "ลักษณะที่แท้จริงของจิต" ซึ่งเป็นสภาพรู้

เพราะฉะนั้น การที่จะค้นหาจิต ก็ไม่ใช่การที่จะค้นหาวัตถุภายนอก ณ สถานที่หนึ่งที่ใดแต่เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังรู้ เช่น การเห็น เป็นจิตชนิดหนึ่งที่ปรากฏทางตาแต่ว่ากระทบสัมผัสทางมือ หรือด้วยปสาทใดๆ ไม่ได้เพราะว่าเป็นเพียงธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่สภาพธรรมนี้มีจริง และ เป็นสภาพธรรมที่สำคัญมาก เพราะว่าถึงแม้วัตถุภายนอกที่เป็นรูปธรรมทั้งหลายจะปรากฏเป็นความวิจิตรต่างๆ สักเพียงไรก็ตาม ถ้าสภาพรู้ไม่เกิดขึ้นรู้...สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ก็ไม่ปรากฏแล้วก็ไม่มีความหมายอะไรเลย



ขออนุโมทนาขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่ญาติมิตรที่ล่วงลับ และสรรพชีวิตที่ล่วงรู้ได้อนุโมทนาด้วยค่ะ.



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 12 ส.ค. 2551

เพราะฉะนั้น การที่จะค้นหาจิตก็ไม่ใช่การที่จะค้นหาวัตถุภายนอก ณ สถานที่หนึ่งที่ใดแต่เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังรู้ เช่น การเห็น เป็นจิตชนิดหนึ่งที่ปรากฏทางตาแต่ว่ากระทบสัมผัสทางมือ หรือด้วยปสาทใดๆ ไม่ได้เพราะว่าเป็นเพียงธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว...

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 12 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย suwit02  วันที่ 13 ส.ค. 2551

สาธุ


ความคิดเห็น 4    โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ  วันที่ 13 ส.ค. 2551

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๙๕

นามรูปเปรียบด้วยชายบอดและคนเปลี้ย

คำว่า ชายบอดและคนเปลี้ย ความว่า ได้ยินว่า ในศาลาใกล้ประตูพระนคร มีชายตาบอดแต่กำเนิดและคนเปลี้ยสนทนากันอยู่ ในบรรดาคนทั้งสองนั้น คนเปลี้ยพูดว่า เจ้าบอด เพราะเหตุไร เจ้าจึงซูบซีดอยู่ในที่นี้ เจ้าเที่ยวไปประเทศโน้นซึ่งมีภิกษาหาได้ง่าย มีข้าวน้ำมาก เจ้าไปในที่นั้นก็เป็นอยู่สบายไม่สมควรหรือ ชายตาบอดพูดว่า เจ้าบอกเราก่อนแล้ว แต่เจ้าเล่าไปในที่นั้นก็อยู่สบายไม่สมควรหรือ.

คนเปลี้ย : เท้าที่จะเดินของเราไม่มี

ชายบอด : ตาของเราจะดูไม่มี.

คนเปลี้ย : ถ้าอย่างนั้น เจ้าเป็นเท้า เราเป็นตา.

คนทั้ง ๒ ต่างก็รับคำกันแล้ว ชายบอดให้คนเปลี้ยขี่คอไป คนเปลี้ยนั้น นั่งขี่คอของชายบอดเอามือซ้ายโอบศีรษะชายตาบอด เอามือขวากำหนดทาง บอกว่า ในที่นี้มีรากไม้ขวางอยู่ ในที่นี้มีหิน ท่านจงละทางซ้ายถือเอาทางขวา จงละทางขวาถือเอาทางซ้าย ดังนี้ เท้าเป็นของคนตาบอดแต่กำเนิด ตาเป็นของคนเปลี้ย คนแม้ทั้งสองไปแล้วสู่ที่ตนปรารถนาด้วยความพยายามร่วมกันเป็นอยู่แล้วเป็นสุข ด้วยประการฉะนี้.

ในความอุปมานั้น รูปกาย พึงเห็นเหมือนชายตาบอดแต่กำเนิด อรูปกาย (นามกาย) เหมือนคนเปลี้ย. รูปกายเว้นนามกายก็ไม่สามารถให้ถึงการยึดถือ การจับ และการเคลื่อนไหวได้ เหมือนเวลาที่ชายตาบอดแต่เว้นคนเปลี้ย ก็ไม่เกิดความตั้งใจที่จะเดินทางไปยังถิ่นต่างๆ ได้. อรูป (นามกาย) เว้นรูปเสียก็เป็นไปไม่ได้ในปัญจโวการภพ เหมือนคนเปลี้ยเว้นชายตาบอดแต่กำเนิด ก็ไม่เกิดความตั้งใจที่จะเดินทางไปสู่ถิ่นต่างๆ ได้. รูปธรรมและอรูปธรรม มีสภาพเป็นไปในกิจทั้งปวงได้ด้วยการประกอบซึ่งกันและกัน เหมือนเวลาที่ชายตาบอดและคนเปลี้ยแม้ทั้งสองไปสู่ที่ตนปรารถนาด้วยความพยายามร่วมกันแล้ว เป็นอยู่สบาย ฉะนั้น. ปัญหานี้ท่านอาจารย์กล่าวได้ด้วยอำนาจปัญจโวการภพ. ว่าด้วยการรับอารมณ์โดยมีอุปนิสสยปัจจัย

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า การรับอารมณ์ ต่อไป จักษุย่อมรับอารมณ์เฉพาะรูป โสตเป็นต้นก็รับอารมณ์เฉพาะเสียง เป็นต้น. คำว่า โดยมีอุปนิสสยปัจจัยเป็นประโยชน์ คือ โดยอุปนิสสยปัจจัย (ต้องอาศัยแน่นอนขาดไม่ได้) และโดยความเป็นประโยชน์.
ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 5    โดย ajarnkruo  วันที่ 13 ส.ค. 2551

จิตเป็นนามธรรม หาที่ไหนก็หาจิตไม่พบ ที่คิดว่าหาพบ...ก็ล้วนแต่พบจิตด้วยความมีตัวตนจนกว่าจะเจริญปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรมะที่เป็น...จิต...ว่าไม่ใช่บุคคล สัตว์ ตัวตน...

ขออนุโมทนาครับ...


ความคิดเห็น 6    โดย เมตตา  วันที่ 13 ส.ค. 2551

เพราะว่าจิตเป็นเพียงสภาพรู้ที่เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฎ แล้วก็ดับหมดไปทันที เช่นการเห็น ถ้าไม่มีจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฎทางตาก็ไม่อาจปรากฎได้ เช่นเดียวกันกับจิตได้ยิน จิตรู้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตที่กระทบสัมผัส และจิตคิดนึก ซึ่งจิตแต่ละอย่างเป็นเพียงธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา มีหนทางเดียวคือการอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังรู้ เมื่อนั้นก็จะพบจิตตามความเป็นจริง เช่น การเห็นเป็นจิตชนิดหนึ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้น การได้ยินก็เป็นจิตอีกชนิดหนึ่งที่ปรากฎทางหูซึ่งไม่สามารถปรากฎทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายได้

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย choonj  วันที่ 14 ส.ค. 2551

ทุกคนมีจิตซี่งเป็นสภาพรู้ และทุกคนก็กำลังศึกษาเพื่อสู่นิพพาน คือไม่เกิดอีกดับสภาพรู้นี้ ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตดวงอืนๆ ก็เกิดขึ้นอาศัยอย่างที่เราเป็นอยู่นี้ซึ่งก็คือจิตอื่นไม่ใช่เรา บาป บุณ สุข ทุกข์ กรรมดี กรรมชั่ว จิต เจตสิก เขาทำงานของเขาแต่ละอย่าง อย่างยุติธรรมและแน่นอน ทำไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีก่อนที่จะสามารถดับสภาพรู้นี้คือนิพพานซึ่งต้องใช้เวลานาน บางที่อาจติดใจไม่นิพพานก็ได้ ขอโทษครับ คิดได้ก็เขียนไปแบ่งกันอ่านก็เท่านั้น


ความคิดเห็น 8    โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ  วันที่ 14 ส.ค. 2551

รูป-นาม แยกกัน แต่ไม่เห็น แถมติดข้องต่างหากเสียงมี ได้ยินมี ชอบใจด้วยเสียงหายไป แต่ใจยังคิดถึง อยากฟังอีก


ความคิดเห็น 9    โดย pamali  วันที่ 20 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ