ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๖๓
โดย khampan.a  4 พ.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 22006

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓]

ภาวนาคือการอบรมเจริญปัญญา จนกว่าปัญญานั้นจะเจริญขึ้นๆ จนรู้ชัดใน

ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวัน คือ ในขณะนี้เอง

ชีวิตของทุกคนดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว เพราะว่าจิตเกิดขึ้นขณะหนึ่งแล้ว

ก็ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นแล้วก็ดับ แต่ว่าเกิดดับอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่รู้ว่า

เป็นจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับ ก็เป็นเราที่เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล เดี๋ยวก็เป็นสุข

เดี๋ยวก็เป็นทุกข์ ซึ่งความจริงแล้วเป็นจิตแต่ละขณะ แล้วก็เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว

จริงๆ

ผู้ที่รู้ตัวเองว่า มีกิเลส จึงศึกษาพระธรรม ย่อมต่างกับผู้ที่ดีส่วนอื่น แต่ไม่ศึกษา

พระธรรมเพราะเข้าใจว่าดีแล้ว

ศึกษาพระธรรมเพื่ออะไร? ถ้าศึกษา เพื่อขัดเกลากิเลส ก็เริ่มจากการที่ค่อยๆ

เข้าใจตัวเอง เพราะว่าธรรม เป็นเรื่องของตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่เกิด

จนตาย พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ เรื่อง

ของการเห็น แล้วก็ชอบใจ ไม่ชอบใจ เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาที่เต็มด้วย

กุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง เป็นต้น

เกิดมาแล้ว ขอเพียงเข้าใจธรรม เพราะฟังธรรม เพื่อจะมีความเห็นถูกและความ

เข้าใจธรรมตลอดจนถึงอรหัตมรรค อรหัตตผล เพราะว่าจะขาดความเข้าใจไม่ได้เลย

แต้องตามลำดับ และไม่ใช่เร่งร้อนด้วยความอยาก ด้วยความเป็นตัวตน เพราะเหตุ

ว่าพระธรรมทั้งหมดเป็นเรื่องละ

ใจสบายหรือเปล่าเวลาที่มัวคอยแสวงหาโทษของคนอื่น? ควรจะเป็นผู้ที่จิตใจ

สบาย ปลอดโปร่ง ไม่คิดถึงคนอื่นในทางที่จะทำให้ตนเองเดือดร้อน แต่แม้กระนั้น

ก็เป็นผู้ที่คอยแสวงหาโทษของคนอื่น ซึ่งความจริงแล้วน่าจะต้องเป็นการกระทำที่น่า

เหนื่อย เพราะเหตุว่า อยู่ว่างๆ ก็สบายดี หรือว่าเป็นกุศลก็น่าจะดีกว่า คือมีเมตตา

จิตใจก็เบาสบาย แต่ถ้าเป็นผู้ที่สะสมมาที่จะแสวงหาโทษของคนอื่น วันหนึ่งๆ ก็ไม่

ว่าง คอยแต่จะคิดว่าคนนั้นมีโทษอะไร คนนี้มีโทษอะไร โทษเท่านี้ยังไม่พอ

ยังแสวงมากกว่านั้นอีก ว่า คนนั้นจะมีโทษมากกว่านั้นอีกแค่ไหน

ถ้าใคร่ที่จะรู้ว่าอกุศลธรรมในตนเองมีมากเพียงไร ก็จะอ่านได้ในพระไตรปิฎกและ

ในอรรถกถา ซึ่งพระธรรมที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงจะไม่พ้นไปจากอกุศลธรรม

และกุศลธรรม เลย

ก่อนศึกษาพระธรรม ก็ไม่รู้อะไร และถ้าไม่ศึกษาย่อมไม่มีทางที่จะรู้อะไร

ได้เลย ความรู้ทั้งหมด ต้องมาจากการเริ่มศึกษา คิดธรรมเอาเองไม่ได้

พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ทรงห้ามเลย เพราะห้ามไม่ได้ ธรรมเป็นอนัตตา แต่

พระองค์ทรงแสดง ประโยชน์ของกุศลธรรมไว้ เมื่อผู้ใดเห็นประโยชน์ ก็ค่อยๆ น้อม

ประพฤติปฏิบัติตาม ผู้นั้นก็จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม แต่โดยมากไม่เข้าใจ

อย่างนี้ ก็เลยไปทำ หรือไปบังคับด้วยความเป็นตัวตน ซึ่งไม่ทำให้รู้ความจริง ไม่ใช่

หนทาง ที่จะทำให้รู้ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์-บุคคล ตัวตน มีแต่จะ

เพิ่มพูนกุศลให้มีมากขึ้น

ขณะใดที่เว้นไม่พูดเท็จ ขณะนั้นก็เห็นหิริโอตตัปปะ ขณะใดที่เว้นคำพูดหยาบ

คาย ขณะใดที่เว้นคำพูดส่อเสียด ขณะใดที่เว้นคำพูดเพ้อเจ้อ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต,

บางคนพูดคำไม่จริงง่ายมาก จนเกือบจะเป็นปกติ เพราะขาดหิริโอตตัปปะ แต่ถ้าได้

ทราบว่า ในขณะนั้นกำลังสะสมอุปนิสัย ที่เป็นอกุศล แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งต่อไป

เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ก็ย่อมจะกระทำได้โดยง่าย เพราะเหตุว่าในเรื่องเล็กน้อย ไม่มีความ

จําเป็นอะไรเลย ที่จะต้องพูดไม่จริง ยังพูด เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ก็จะยิ่งมีข้อ

อ้าง หรือมีข้อแก้ตัวที่จะพูด แต่ถ้าเป็นผู้ที่เห็นโทษของ อกุศลทางวาจา ในเรื่องของ

การเป็นผู้ที่พูดคำเท็จ ก็จะทำให้เกิดหิริโอตตัปปะ และระวังที่จะพูดคำที่ไม่จริง

การไม่รู้จบของการตายและการเกิดวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่ายังเป็น

ผู้ที่ยังไม่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท

กว่าจะถึงความเป็นผู้ดับกิเลสได้ ก็จะต้องฟังพระธรรม ที่ทรงพร่ำสอน เรื่องของ

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ใช่ตัวตน

ธรรมดาทุกคนมีความเห็นผิดบ้าง เล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่บางคนก็มีมาก จนกระทั่งไม่

กล้า ที่จะไปสู่ความเห็นถูก ไม่กล้าที่จะไปหาผู้ที่มีความเห็นถูก ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ผู้

ที่มีความเห็นถูก

ผู้ที่มีความใคร่ที่จะเห็นถูก เป็นผู้ที่ไม่กลัวต่อการเข้าใกล้พระธรรมที่จะ

ฟังให้เข้าใจ

พระธรรมยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจ

แต่ละหนึ่งที่มีจริงๆ ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ชีวิตมีอยู่เท่านี้จริงๆ คือ นามธรรม กับ รูปธรรม

ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ

ถ้าไม่เป็นคนตรง จะไม่ได้สาระจากพระธรรม

มากไปด้วยความติดข้อง เพราะยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม

ปัญญา สามารถทำให้เป็นผู้ไม่มีกิเลสได้

คิด ไม่ใช่เห็น เห็นไม่ใช่คิด

ไม่รู้จักนรก จึงทำทางไปสู่นรก

ความสุขที่แท้จริง อยู่ที่ขณะที่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีตามความ

เป็นจริง

สิ่งที่มีค่าทั้งหมดจะเทียบเท่ากับพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่ได้เลย

ผู้ไม่ประมาท คือ มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้ฟังพระธรรม และสะสมกุศลต่อไป.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๖๒ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 4 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ

- เรามักสงสารคนที่ประสบเคราะห์กรรมต่างๆ เช่น คนที่ทรัพย์สินเสียหาย หรือบาง

คนถึงแก่ชีวิตด้วยโรคร้าย หรืออุบัติภัยต่างๆ เราเกิดความรู้สึกสงสารเห็นใจ เมื่อเห็น

เขาได้รับผลของอกุศลกรรมของเขา แต่ขณะที่เขากระทำเหตุ (กระทำความชั่ว) ทำ

ไม เราจึงไม่เกิดความรู้สึก สงสารเห็นใจ เรากลับรู้สึกโกรธแค้น ชิงชัง ซึ่งนอกจากจะ

ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว เรายังเพิ่มอกุศลให้กับตนเอง

- หลายคนคิดว่า การที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรม

นั้น เป็นเทคนิค หรือ วิธีการขู่ ให้คนเกรงกลัว การกระทำชั่ว และคิดว่าเป็นอุบายให้

คนกระทำความดี แต่เมื่อได้ศึกษาธรรม ขั้นละเอียด (พระอภิธรรม) ในเรื่องของจิต

การทำงานของจิต และวิถีจิตแล้ว จะทราบได้ด้วยตนเองว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ขู่

ไม่ได้คิดกลยุทธ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่พระพุทธองค์ ทรงแสดงความจริงให้รู้ ซึ่งความจริง

อันประเสริฐนี้ พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี มายาวนาน กว่าจะบรรลุสัจธรรมนี้

- ไม่ว่าจะได้รับกระทบจากบุคคลหนึ่งบุคคลใด ที่เป็นคนเลว คนปานกลาง หรือว่า

คนชั้นสูง ถ้าเป็นผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมจะอดกลั้น คำดูหมิ่นได้ทั้งหมด ไม่ว่าจากใคร

ก็ตาม ไม่ใช่เฉพาะบางบุคคล แต่ต้องทั่วไปหมด เพราะเหตุว่า บางคนอาจจะคิดว่า

ถ้าเป็นคนชั้นสูงก็อดกลั้นได้ แต่ถ้าเป็นคนชั้นต่ำหรือเป็นคนเลว ก็อดกลั้นคำพูดของ

บุคคลเหล่านั้นไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกบุคคลควรเป็นสิ่งที่ทำให้ขันติบารมี

เจริญขึ้น

- การเจริญขึ้นของปัญญา หรือความเข้าใจพระธรรมนั้น ต้องอาศัยกาลเวลา จะช้า

หรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมมา ในอดีต และปัจจัยที่เหมาะสมทั้งหลาย เปรียบเสมือน

การเติบโตของต้นไม้ ขอให้เราเป็นผู้ตรง เข้าใจการสะสมของตัวเอง ตามความเป็น

จริง และ เจริญเหตุทั้งหลาย ให้ถึงพร้อม ผลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้นเอง โดยไม่ต้อง

หวังเลย

- บางครั้ง การกระทำของเรา บางอย่าง เพื่อความสุขของตน แต่เมื่อเป็นผู้ละเอียด

ขึ้น ก็ย่อมพิจารณาถึง การกระทำของตนว่า มีผลกระทบกับ บุคคลรอบข้างอย่างไร

บ้างเมื่อพิจารณาดังนี้ ก็จะคิดก่อนที่จะทำ และนึกถึงความสุขของคนอื่นก่อนตนเสมอ

ว่าเขาจะทุกข์กายและใจจากการกระทำของเราหรือไม่

- ไม่ว่าเราจะทำงาน ไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯแต่ขออย่างเดียวอย่าขาดการฟัง

ธรรมเพราะว่าพระธรรมเปรียบเหมือนเชือกที่ดึงเราขึ้นมาจากเหวลึก คือ อวิชชาค่ะ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย nong  วันที่ 5 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย ธนัตถ์กานต์  วันที่ 5 พ.ย. 2555

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย j.jim  วันที่ 5 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย kinder  วันที่ 5 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย rrebs10576  วันที่ 6 พ.ย. 2555

มากไปด้วยความติดข้อง เพราะยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม

ความสุขที่แท้จริง อยู่ที่ขณะที่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง

- ไม่ว่าเราจะทำงาน ไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯแต่ขออย่างเดียวอย่าขาดการ

ฟังธรรมเพราะว่าพระธรรมเปรียบเหมือนเชือกที่ดึงเราขึ้นมาจากเหวลึก คือ อวิชชาค่ะ

ผู้ไม่ประมาท คือ มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้ฟังพระธรรม และสะสมกุศลต่อไป.

ขอบพระคุณ และอนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย jaturong  วันที่ 6 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย Noparat  วันที่ 6 พ.ย. 2555

ผู้ไม่ประมาท คือ มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้ฟังพระธรรม และสะสมกุศลต่อไป.

- ไม่ว่าเราจะทำงาน ไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ แต่ขออย่างเดียวอย่าขาดการฟังธรรม

เพราะว่าพระธรรมเปรียบเหมือนเชือกที่ดึงเราขึ้นมาจากเหวลึก คือ อวิชชา

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย pat_jesty  วันที่ 11 พ.ย. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย boonpoj  วันที่ 7 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ