ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิฯ ในวันวิสาขบูชา ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔
โดย วันชัย๒๕๐๔  24 พ.ค. 2554
หัวข้อหมายเลข 18402

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๒ หน้าที่ ๑๗๘ - ๑๘๐

เรื่องปฐมโพธิกาล

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดาประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ทรงเปล่งอุทานด้วยสามารถเบิกบานพระหฤทัย ในสมัยอื่น พระอานนท์เถระทูลถาม จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า"อเนกชาติสสาร" เป็นต้น. ทรงกำจัดมารแล้วทรงเปล่งพระอุทาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล ประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ เมื่อพระ-อาทิตย์ยังไม่อัสดงคตทรงกำจัดมารและพลแห่งมารแล้ว ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ, ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว, ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้วทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมและปฏิโลม. ในเวลาอรุณขึ้นทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อจะทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ไม่ทรงละแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า "เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิด บ่อยๆ เป็นทุกข์, แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่าน แล้ว, ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่ ของท่าน เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเรา ถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว, เพราะเรา

บรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว"

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประสูติ ณ ลุมพินีวัน

ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ควงพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เมืองคยา

รัฐพิหาร และ เสด็จดับขันธปรินิพพาน ระหว่างไม้สาละคู่ ณ อุทยานแห่งเจ้ามัลละ

เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย ในวันเดียวกันนี้คือ วันเพ็ญวิสาขะ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖

อนึ่ง ในวันนี้ยังเป็นวันพิเศษอื่นๆ อีก คือ

- เป็นวันที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์เกิดขึ้นในโลก

- เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้ตรัสรู้

- ย้อนกลับไป เมื่อสี่อสงไขยแสนกัปป์ ในวันวิสาขะ

ท่านสุเมธดาบส ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า

ทรงพระนามว่าทีปังกร ว่า อนาคตจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม

เนื่องในโอกาสวันสำคัญนี้ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ เป็นประจำทุกปี ซึ่งวันวิสาขบูชาเป็นวันพระใหญ่

ภายในอาคารมีการจัดดอกไม้บูชาพระบรมสารีริกธาตุอย่างสวยสดงดงามยิ่ง

ได้ทราบว่า ปีนี้ คุณหมอวิภากร (ทพ.หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์) เป็นเจ้าภาพ

โดยมีพี่แอ๊ว (คุณฟองจันทร์ นันตา) และ เพื่อนๆ สหายธรรมผู้มีศรัทธา

ร่วมกันจัดได้อย่างงดงามจริงๆ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทุกๆ ท่านด้วยครับ

นอกจากนี้ ที่ขาดไม่ได้ คืออาหารหลากหลายชนิดและเครื่องดื่ม ที่มีผู้มีจิตศรัทธา

เป็นเจ้าภาพ และ นำมาให้ทุกๆ ท่านที่มาฟังการสนทนาธรรม รับประทานเช่นเคย

รวมถึงพี่น้องประชาชนที่พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียงกับมูลนิธิฯก็เข้ามารับประทานด้วย

ซึ่งข้าพเจ้าได้ทราบว่าท่านอาจารย์ท่านรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ที่คนในชุมชนได้รับประโยชน์

จากกิจกรรมของมูลนิธิฯด้วย อาหารอร่อยและหมดทุกอย่างเลยครับ

ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านเจ้าภาพทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

การสนทนาธรรมในวันนี้ มีความไพเราะจับใจมากตลอดทั้งเช้าและบ่ายเลยครับ

มีท่านผู้ฟังล้นออกมานอกห้องเช่นเคย บางท่านก็มีศรัทธามาก นั่งกางร่มฟังก็มี

ที่ประทับใจอีกท่านหนึ่งคือ ท่านเป็นสุภาพสตรีที่นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ กัน

ที่ใต้ร่มโพธ์ิที่ใบมีเพียงประปรายเท่านั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าร้อนมาก จึงเข้าไปเชิญชวนท่าน

ให้เข้าไปนั่งด้านหลังที่ร่มรื่นกว่า ท่านตอบว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ฟังท่านสนทนาธรรมอยู่"


ข้าพเจ้ารู้สึกปีติกับคำตอบของท่านมาก ทำให้นึกถึงธรรมะเตือนใจที่ว่า

ได้ยินว่า

พระมหาจุนทเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

การฟังดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญการฟังเป็นเหตุให้เจริญปัญญา

บุคคลจะรู้ประโยชน์ก็เพราะปัญญา ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้


อันดับต่อไป ขอเชิญทุกท่านได้อ่านและพิจารณาข้อความบางตอนที่ท่านอาจารย์

ได้สนทนาไว้ในวันนั้น เกี่ยวกับเรื่องพุทธศาสนิกชน กับ ความเป็นพุทธบริษัท

ท่านอาจารย์ได้ให้ความเมตตาสาธยายไว้อย่างเข้าใจง่ายน่าฟังมากครับ

ทั้งนี้ ก็เพื่อท่านผู้ฟังจะเกิดความเข้าใจ และ ศรัทธาในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ต่อไปครับ


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

ท่านอาจารย์ "...ทุกท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชน ก็คงจะได้ยินคำว่าพระรัตนตรัย

ไม่ใช่มีเพียงหนึ่ง คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็มีพระธรรมที่ทรงตรัสรู้

และทรงแสดงให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา รู้ตาม เป็นพระสงฆ์

ผู้ที่รู้ความจริง คือ อริยสัจจะ ตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง

เพราะฉะนั้น รัตนตรัยที่ประเสริฐ ๓ คือ พระพุทธรัตน ๑ พระธรรมรัตน ๑ พระสังฆรัตน ๑

แม้แต่เพียง ๓ คำเนี่ยค่ะ ก็ต้องเข้าใจจริงๆ นะคะ ประมาทไม่ได้ว่า ได้ยินบ่อยๆ รู้แล้ว

มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่า พระรัตนตรัยคืออะไร?




...แต่ลืมคิดว่า มีใครบ้าง? ที่ "รู้จัก" และ "เข้าใจ" พระรัตนตรัย

เพราะฉะนั้น พระธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง ตั้งแต่ต้น

ถ้าผู้ที่เห็นความละเอียดของพระธรรม ศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ นะคะ

ว่า ทรงแสดงความจริง ซึ่งมีอยู่ทุกกาลสมัย ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม ให้ผู้ที่ได้ฟัง

"เข้าใจ" สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ตามความเป็นจริง

ก็จะเห็นพระมหากรุณาคุณ นะคะ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์

หลังจากที่ได้ฟังพุทธพยากรณ์ จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร

ลองคิดดูค่ะ ว่านานแค่ไหน? สี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่วัน เดือน ปี นะคะ

เพื่อใคร? ไม่ใช่เพื่อพระองค์ พระองค์เดียวเท่านั้น

แต่เพื่อสัตว์โลก ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ด้วยตนเอง


เพราะฉะนั้น ในขณะนี้นะคะ ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าผู้ทรงแสดงพระธรรม

ให้ผู้ที่เป็นสาวก รู้แจ้งตาม ก็ต้องเป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง นะคะ

ที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ หรือยัง?

หรือเพียงได้ยินชื่อ แล้วก็มีผู้ที่บอกว่า เป็นผู้ที่ประเสริฐสุด

ได้ยินเพียงเท่านี้ ก็เลื่อมใส ศรัทธา กราบไหว้ บูชา แต่เท่านั้นไม่พอค่ะ

เพราะเหตุว่า ไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้ผู้อื่น กราบไหว้ บูชา สรรเสริญ

แต่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้อื่น

ได้สามารถที่จะ "เข้าใจธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้


เพราะฉะนั้น ผู้ที่นับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ นะคะ

ต้องเป็นผู้ที่ "ละเอียด" จริงๆ แล้วก็ เป็นผู้ที่ "ตรง" จริงๆ

จึงจะสามารถได้สาระ ได้ประโยชน์ จากพระธรรม

เพราะเหตุว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด "ทรงตรัสรู้ธรรมะ"

แสดงว่า "ธรรมะ" มีจริงๆ นะคะ สิ่งใดที่ไม่มี ใครจะไปรู้ได้

แต่สิ่งที่มี ใครรู้ได้? ถ้าไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง พระธรรมมาก่อน

ใครรู้ได้คะ? ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ก็เป็นไปไม่ได้เลย....


ด้วยเหตุนี้นะคะ ความละเอียด ก็คือว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงตรัสรู้พระธรรม ความจริง นะคะ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังธรรมะ นับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เคารพพระธรรม

ไม่ใช่เปล่าๆ โดยการกราบไหว้บูชา นะคะ

แต่ต้องรู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?

ถ้าไม่รู้อย่างนี้ เป็นพุทธบริษัทหรือเปล่า?

เป็นผู้ที่กล่าวได้ไหมว่า นับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เคารพในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

จึงเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม เข้าใจพระธรรม ไม่ประมาทในพระธรรมที่ทรงแสดง

ว่าเป็นสิ่งที่ง่าย ไม่ต้องทำอะไร ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ รู้ได้ หมดกิเลสได้

นั่นคือ ประมาทในความเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า


แต่ถ้าเป็นผู้ที่เคารพจริงๆ นะคะ เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง ต้องรู้จักพระธรรม

ถ้าไม่รู้จักพระธรรม จะรู้จักพระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าไม่ได้

พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา

ผู้ที่กราบไหว้พระพุทธรูป เห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าเพียงเห็นพระพุทธรูป?

มีความเลื่อมใสว่า พระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าอะไรๆ หลายอย่าง

แต่ว่า รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? มีใครเป็นที่พึ่ง?

มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง? หรือว่า มีพระพุทธรูปเป็นที่พึ่ง?



พระพุทธรูป เป็นเพียงแต่สิ่งที่เตือนให้ระลึกถึงพระคุณ นะคะ

ซึ่งพระพุทธรูปใดๆ ทั้งสิ้นในสากลโลก ก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วก็ไม่มีการที่จะละม้ายแม้นเหมือนพระองค์ด้วย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย นะคะ

ที่จะมีพระพุทธรูปไหน ที่จะมีลักษณะที่เป็น มหาปุริสลักษณะ

ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปไม่ได้เลย

เป็นแต่เครื่องเตือนให้ พุทธศาสนิกชน ไม่ลืมพระธรรม ที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา

เพื่ออนุเคราะห์ให้สัตว์โลก ซึ่งได้สะสมปัญญามาแล้ว มีศรัทธา

ที่จะได้เข้าใจ ความละเอียดของธรรมะ แล้วก็ไม่เผินค่ะ

เพียงคำว่า "ธรรมะ" พุทธศาสนิกชน ก็ต้องรู้จัก และ เข้าใจจริงๆ

จึงจะชื่อว่า มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ แล้วก็ มีพระธรรมเป็นสรณะจริงๆ

อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวว่า ชาวพุทธเห็นอะไร เห็นพระพุทธรูป หรือว่า

เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า ถ้าเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้รู้พระธรรม

ที่ทรงแสดง พระพุทธเจ้าแสดงธรรมะ คืออะไร? และตรัสรู้ธรรมะได้อย่างไร?

ถึงจะเป็นปัจจัยให้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

ท่านอาจารย์คะ มีท่านที่เขียนมาถามว่า ธรรมะอะไร ที่ยังบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้าคะ?

ท่านอาจารย์ "ปัญญา" ค่ะ


อ.กุลวิไล จะเห็นได้ว่า ท่านอาจารย์กล่าวถึงที่พึ่ง เป็นชาวพุทธ ไม่ได้ฟังพระธรรม

เราจะพึ่งอะไร? ส่วนใหญ่ก็จะพึ่งสิ่งที่ ไม่ได้ทำให้เรารู้ความจริงได้ ที่เป็น "ปัญญา"

เพราะฉะนั้น ปัญญาเป็นความเห็นถูก ในสภาพธรรมะตามความเป็นจริง

และ ปัญญานี้ เป็นโสภณเจตสิก เกิดกับกุศลจิต ไม่ต้องห่วงนะคะ

ผู้ที่มีปัญญา กุศลทุกขั้นเจริญค่ะ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม จะชื่อว่า นับถือพระพุทธศาสนาหรือเปล่าคะ?

นี่ก็เป็นข้อเตือนใจ นะคะ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม หรือไม่เข้าใจธรรมะ

เพราะว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรมะ และทรงแสดงธรรมะ

เพราะฉะนั้นถ้าชาวพุทธไม่รู้จักธรรมะ จะชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนาหรือเปล่า?

อ.กุลวิไล ก็ไม่ใช่ค่ะ เพราะว่าถ้าเป็นชาวพุทธ ก็ต้องเป็นผู้ที่รู้ธรรมะที่ทรงแสดงนั่นเอง

จะดูจากภายนอกไม่ได้นะคะ การกระทำทางกาย ทางวาจา แต่ปัญญารู้อะไร?

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นพุทธบริษัท ต้องเป็นผู้ตรงต่อความจริง

ตั้งแต่ต้น จนตลอด

อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวว่า ผู้ที่ตรง จะได้สาระจากพระธรรม

กราบท่านอาจารย์ ช่วยอธิบายอีกครั้งค่ะ


ท่านอาจารย์ "ตรง" คือ รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง

ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้น เดี่๋ยวนี้ ขณะนี้ อะไรที่มีจริง?

เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วก็ทรงแสดงว่า เป็นธรรมะ

ไม่ได้กล่าวถึงชื่อคนโน้น คนนี้เลย นะคะ แต่ทุกอย่างที่มีจริงเนี่ยค่ะ ใช้คำว่า "ธรรมะ"

เพราะว่ามีจริง และก็เป็นสิ่งที่เกิดแล้ว มีแล้ว ปรากฏแล้ว ตามเหตุ ตามปัจจัย

โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้ง ของสิ่งที่ขณะนี้ กำลังปรากฏ

เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ เพียงเท่านี้ค่ะ ประโยคสั้นๆ แต่ก็ต้อง

มีความเข้าใจจริงๆ นะคะ ว่าธรรมะ ขณะนี้ปรากฏ เพราะธรรมะนั้นเกิดขึ้น จึงปรากฏ

และถ้าไม่มีปัจจัย ที่จะทำให้ธรรมะนั้นๆ เกิดขึ้นหลากหลาย

ธรรมะนั้นๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างตรงกับเหตุและผล ที่จะทำให้สามารถเข้าใจว่า

ชาวพุทธ ก็คือ รู้จักธรรมะ ไม่ว่าจะกล่าวคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือว่า

พระโอวาทปาฏิโมกข์ ละชั่วคือ ทุจริตต่างๆ บำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม คือ กุศลต่างๆ

ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ก็ต้องเข้าใจธรรมะ และ รู้จักธรรมะด้วย

เพราะเหตุว่า เราจะได้ยินว่า ทุกศาสดาสอนให้สาวกประพฤติดี คือ ละทุจริตกรรม

เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม นะคะ ที่ละเว้นทุจริตกรรม เพียงเท่านั้น

ผู้นั้น เป็นชาวพุทธหรือ?

เพราะเหตุว่า ใครๆ ศาสดาทั้งหลาย ก็สอนให้ละชั่ว

เพราะฉะนั้น เมื่อทุกคนละแล้ว อะไรเป็นความต่างของผู้ที่ละ โดยไม่ใช่ชาวพุทธ

กับ ผู้ที่ละ เพราะฟังพระธรรม แล้วก็มีความเข้าใจว่า ทุกคำเนี่ยค่ะ

เป็นเรื่องของการให้ผู้ฟัง คือ สาวก เกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ของตนเอง

ไม่ใช่จะไปขอจากคนอื่น หรือว่า ขอยืมจากคนอื่น นะคะ

แต่ต้องเป็นปัญญาของตนเอง จากการที่ไตร่ตรอง แล้วฟัง แล้วพิจารณาว่า

เป็นความจริงหรือไม่?

เพราะฉะนั้น ความต่าง ของผู้ที่เว้นทุจริตก็คือว่า เว้นโดยไม่เข้าใจธรรมะ

ใครก็ได้ทั้งหมดนะคะ ไม่จำกัดเชื้อชาติใดๆ ศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น

ใครก็ตาม ที่ละเว้นทุจริต แต่ไม่เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรมะ เป็นชาวพุทธหรือเปล่า?

เพราะว่า เว้นกันหมด ใช่ไม๊คะ?

เพราะฉะนั้น ความต่างของชาวพุทธ ก็คือว่า

ชาวพุทธ รู้จักธรรมะ เข้าใจธรรมะ ฟังธรรมะ

ขาดคำนี้ ไม่ได้เลยค่ะ



กาละแห่งโอกาสอันยอดเยี่ยมของการได้เกิดมาในชาตินี้แล้วได้ฟังพระธรรมจากท่านผู้รู้

ได้หมดไป สิ้นไปอีกครั้งหนึ่ง กาละนั้นได้กลายเป็น

ณ กาลครั้งหนึ่ง ในสังสารวัฏฏ์ของทุกบุคคลในวันนั้นไปแล้ว

ที่ได้เคยมีโอกาสอันแสนวิเศษ ได้รู้จักธรรมะ ฟังธรรมะ เข้าใจธรรมะ

สะสมปัญญา อันเป็นยอดแห่งกุศลธรรม ที่บุคคลควรอบรมให้มีมากขึ้น เจริญขึ้น

เพื่อเป็นเสบียง เพื่อเป็นที่พึ่งอันประเสริฐที่สุดอย่างแท้จริง สำหรับการเดินทางแสนไกลนี้

.....จนกว่าจะถึงวันนั้น.....จิรกาลภาวนา...

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 24 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ...พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า... ไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้ผู้อื่น กราบไหว้ บูชา สรรเสริญ

แต่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้อื่น

ได้สามารถที่จะ "เข้าใจธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้...

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนาอาจารย์วิทยากรทุกท่าน

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และ ทุกๆ ท่าน ครับ


ความคิดเห็น 2    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 24 พ.ค. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 3    โดย pirmsombat  วันที่ 24 พ.ค. 2554

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ สุจินต์ และ อนุโมทนาทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 24 พ.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย พรรณี  วันที่ 24 พ.ค. 2554

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 24 พ.ค. 2554

"ลองคิดดูค่ะ ว่านานแค่ไหน? สี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่วัน เดือน ปี นะคะ

เพื่อใคร? ไม่ใช่เพื่อพระองค์ พระองค์เดียวเท่านั้น

แต่เพื่อสัตว์โลก ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ด้วยตนเอง"

ประโยคนี้ซาบซึ้งมากค่ะ

ตอนที่ท่านอาจารย์กล่าวจบ รู้สึกปิติจนน้ำตาซึมเลยค่ะ

เป็นความยิ่งใหญ่ของการเสียสละและปรารถนาดีต่อสัตว์โลกจริงๆ

ขออนุโมทนาท่านวันชัยที่ได้ refresh เหตุการณ์ครั้งหนึ่ง

เพื่อเป็น......อีกครั้งหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย pamali  วันที่ 24 พ.ค. 2554
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และทุกๆ ท่านค่ะ...

ความคิดเห็น 8    โดย สมศรี  วันที่ 25 พ.ค. 2554

" ด้วยความซาบซึ้งจริงๆ " กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และอนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย ป้าจาย  วันที่ 25 พ.ค. 2554

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์และคณะวิทยากรทุกท่าน

อนุโมทนาผู้เข้าร่วมสนทนาธรรม

และโดยเฉพาะคุณวันชัยที่ได้เก็บภาพ เรื่องราว และถ้อยคำแห่งธรรม

อย่างงดงามไปสู่ผู้ที่ห่างไกล

ขอบคุณค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย Khaeota  วันที่ 26 พ.ค. 2554


ขอนอบน้อมแค่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ...ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนาอาจารย์วิทยากรทุกท่านขออนุโมทนาคุณวันชัย ๒๕๐๔ขออนุโมทนาผู้มีจิตศรัทธาและผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกๆ ท่านขออนุโมทนาในกุศลเจตนาทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย raynu.p  วันที่ 28 พ.ค. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 12    โดย หลานตาจอน  วันที่ 29 พ.ค. 2554
กราบอนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 13    โดย pulit  วันที่ 26 ส.ค. 2557

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขอบพระคุณท่านที่ให้ดิฉันได้มีโอกาส

ได้เห็นภาพแห่งความสุข ความสามัคคี ในการร่มมกันเจริญมหากุศลครั้งนี้ ปลื้มปิติมาก และ

ขอร่วมอนุโมทนาด้วยค่ะ