
ถ้าเหตุมีสมควรแก่ผลเมื่อไร ผลจึงจะเกิดได้ แต่ถ้าเหตุยังไม่สมควรแก่ผลที่จะเกิด ก็ไม่ต้องกังวลถึงว่า เมื่อไรผลนั้นจะเกิด นอกจากจะ เจริญเหตุ คือ การฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรม เพื่อที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏละเอียดขึ้นๆ เพราะเหตุว่าทุกท่านก็ทราบแล้วว่า เพียงแต่รู้ว่า มีนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น ไม่เป็นปัจจัยที่จะให้กิเลสหมด ถ้ารู้ว่า ขณะที่เห็นก็เป็นนามธรรมรูปธรรม ขณะที่ได้ยินก็เป็นนามธรรมรูปธรรม ก็ยังไม่เป็นปัจจัยที่จะให้กิเลสหมด เพราะฉะนั้นก็จะต้องอาศัยการฟังพระธรรมโดยละเอียดจริงๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจนเป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เช่นในขณะนี้เอง ขณะที่ฟังเรื่องของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล ก็คือ ทางตาเมื่อเห็นแล้วก็น้อมที่จะรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร เป็นสภาพรู้อย่างไร เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างไร
สำหรับท่านพระอัครสาวกทั้งสอง ท่านก็ได้อบรมเจริญปัญญาถึง ๑ อสงไขยแสนกัปป์ แสดงให้เห็นว่าตลอดเวลา ๑ อสงไขยแสนกัปป์ ท่านพระสารีบุตรยังไม่ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล แต่ในชาติสุดท้ายเมื่อได้ฟังท่านพระอัสชิแสดงธรรม ท่านสามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลได้
ลองคิดดูว่า ปัญญาที่จะทำให้ท่านรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันเมื่อได้ฟังท่านพระอัสชินั้นมาจากไหน ถ้าไม่ใช่มาจาก ๑ อสงไขยแสนกัปป์ที่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็อบรมเจริญสติปัฏฐาน อบรมเจริญปัญญามาเรื่อยๆ
โสภณธรรม ครั้งที่ 097
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ