ไปจำไว้ผิดๆ ว่ายังอยู่
โดย เมตตา  9 ต.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51129

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 405

ในบทว่า วีริยารมฺภกถา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ภาวะแห่งบุคคลผู้แกล้วกล้า หรือกรรมแห่งบุคคลผู้แกล้วกล้า เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าวิริยะ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าวิริยะ เพราะอันบุคคลพึงดำเนินไป คือ พึงให้เป็นไปตามวิธี ก็ความเพียรนั้น คือ การเริ่มเพื่อละอกุศลธรรม (และ) ให้กุศลธรรมเกิดขึ้น ชื่อว่า วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร.

วิริยารัมภะนั้น มี ๒ อย่าง คือ เป็นไปทางกาย ๑ เป็นไปทางจิต ๑ มี ๓ อย่าง คือ อารัมภธาตุ ๑ นิกกมธาตุ ๑ ปรักกมธาตุ ๑ มี ๔ อย่างด้วยอำนาจสัมมัปปธาน ๔. วิริยารัมภะทั้งหมดนั้น พึงทราบด้วยอำนาจการปรารภความเพียรอย่างนี้ ของภิกษุผู้ไม่ให้กิเลสที่เกิดขึ้นในตอนเดินถึงในตอนยืน ที่เกิดในตอนยืนไม่ให้ถึงตอนนั่ง ที่เกิดขึ้นในตอนนั่งไม่ให้ถึงตอนนอน ข่มไว้ด้วยพลังความเพียร ไม่ให้เงยศีรษะขึ้นได้ในอิริยาบถนั้นๆ เหมือนคนเอาไม้มีลักษณะดังเท้าแพะกดงูเห่าไว้ และเหมือนเอาดาบที่คมกริบฟันคอศัตรูฉะนั้น. กถาอันเกี่ยวด้วยวิริยารัมภะนั้น ชื่อว่า วิริยารัมภกถา


[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 453 - 454

ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้นเชื่อว่าล่วงขณะ ชนเป็นอันมาก กล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้ง บางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดง สัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตนพอจะรู้จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน


ท่านอาจารย์: ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถที่จะกำหนดรู้ได้สักขณะเดียวว่า เมื่อไหร่จะเข้าใจธรรมะ เมื่อไหร่จะประจักษ์แจ้ง เมื่อไหร่จะตาย เมื่อไหร่จะอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเหตุว่า เป็นธรรมะทั้งหมดตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา

ถ้ารู้อย่างนี้ สิ่งที่ประเสริฐสุด คือความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของแต่ละขณะซึ่งมีในชาติหนึ่งๆ เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่เหลือเลยแม้ขณะเดียวตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ และต่อไปด้วย

อ.อรรณพ: เป็น วิริยารัมภกถา ที่จะเป็นปัจจัยให้มีความเพียรที่ไม่ใช่เรา พร้อมสติพร้อมปัญญาที่จะได้ฟังพระธรรม และเห็นคุณค่ายิ่งของการที่จะได้ฟังพระธรรม เพราะว่าเกิดมาในยุคที่ประจวบพร้อมเป็นมนุษย์ด้วย มีการอุบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมะประทานไว้ให้ครับ

เพราะฉะน้ั้น จึงควรที่จะพยายาม แต่ไม่ใช่ด้วยตัวตนนะครับ ที่ตนพอจะรู้พอจะเข้าใจพระธรรมได้ กราบท่านอาจารย์อนุเคราะห์อีกนิดว่า ก็คงสะสมปัญญา และคุณความดีมาไม่มาก จึงไม่ได้เข้าใจพระธรรมที่จะกระจ่างแจ้งชัดเจนนะครับ

เพราะฉะนั้น ที่จะมีความเพียรที่พอจะรู้ พอจะเข้าใจพระธรรมในฐานะของผู้ที่สะสมปัญญามาน้อยคืออย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: ก่อนจะปริพนิพาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ฟังเฉยๆ ไม่สนใจ ฟังแล้วก็จำพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้ แต่ว่าประโยชน์มหาศาลของทุกคำทำให้รู้ว่า สิ่งที่เคยติดข้องพอใจทั้งหมดไม่ว่าเสื้อผ้า แก้วแหวน เงินทอง อะไรทั้งสิ้น เทียบค่าไม่ได้เลยกับความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะจากโลกนี้วันไหนไม่มีใครสามารถรู้ได้ แม้เดี๋ยวนี้สิ่งต่างๆ ที่มีก็กำลังจากไป แต่ไม่รู้ แต่วันหนึ่งต้องจากไปแน่ จากทรัพย์สมบัติ จากบ้าน จากพี่จากน้องจากเพื่อนฝูง จากทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่มีความเข้าใจมีแต่ความติดข้องติดตามไป กับการที่รู้ความจริงว่า ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ หามีไม่ เพียงแค่ปรากฏว่ามี แล้วหมดไปไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เข้าใจถูกอย่างนี้ สามารถละความติดข้องเยื่อใยในทุกอย่างที่เคยติดข้อง เพราะเห็นคุณค่าว่า สิ่งที่ประเสริฐกว่านั้น คือความเข้าใจถูกในความไม่เที่ยง ในความพลัดพราก ในความจากไปของทุกอย่าง วันหนึ่ง และทุกวัน และทุกขณะตามที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้น จะมีประโยชน์ไหม สิ่งที่ติดข้องทำประโยชน์อะไรให้ นอกจากติดข้องผูกพันโดยที่ไม่มีแล้ว ก็ยังไปจำไว้ผิดๆ ว่ายังอยู่

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ก็คือว่าความเข้าใจถูกต้องในความเป็นจริงของสิ่งที่มีทุกขณะ ไม่ว่าชาติไหน ขณะไหน ขณะยังเป็นอยู่

ตายแล้วเกิดอีก ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ไม่ติดข้องในสิ่งซึ่งต้องพลัดพรากไปหมดสิ้นในวันหนึ่ง แต่ความจริงพลัดพรากทุกขณะ

อ.อรรณพ: พลัดพรากทุกขณะ ที่สุดของความละเอียดครับ แม้แต่พลัดพรากโดยสมมติที่จะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติก็เกิดได้ จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ตลอด

ท่านอาจารย์: สนทนากัน และก็จะพลัดพรากแล้วใช่ไหม ใกล้จะจบ?

อ.อรรณพ: ครับ

ท่านอาจารย์: นี่พอจะประมาณได้ แต่ความจริงทุกขณะเป็นอย่างนี้

อ.อรรณพ: พลัดพรากทุกขณะ พลัดพรากในแต่ละภพชาติ พลัดพรากในตามเวลาที่กำหนดว่า เดี๋ยว ๑๑.๓๐ น. ก็จบแล้ว แล้วที่ละเอียดคือพลัดพรากทุกขณะ

เพราะฉะนั้น การที่ได้ฟังอย่างนี้แหละ ก็พอจะเข้าใจได้ทีละนิดทีละหน่อยในธรรมะที่จะทำให้ถึงความสงบในสัทธรรม ก็เป็นประโยชน์มากที่ท่านอาจารย์เตือนข้อความในอักขณสูตร ก็เตือนจนสะดุ้งว่า ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน

กราบเท้าท่านอาจารย์ จะเดือดร้อนสิ้นกาลนานน่ากลัวที่สุดเลยนะครับ เดือดร้อนเพราะความไม่รู้เพราะไม่ฟังสัทธรรม ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า ถ้าใจกระด้างไม่ฟังสัทธรรม นี่ก็เสร็จเลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความจริงเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งที่จะรู้ไหม?

อ.อรรณพ: สมควรที่จะรู้อย่างยิ่งครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังครั้งเดียวรู้ไม่ได้ ถ้าไม่เห็นประโยชน์จริงๆ ก็จะไม่ฟังแล้วฟังอีก เพราะรู้ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สิ่งที่ได้ฟังและเข้าใจนั้นมั่นคงขึ้น

อ.อรรณพ: สิ่งที่ได้ฟังได้เข้าใจจะค่อยๆ มั่นคง นี่ก็คือความพยายามในกาลดังกล่าวในกาลที่ประจวบพร้อมที่จะมีการฟังพระสัทธรรม นี่ก็ตนพอจะรู้พอจะเข้าใจสัทธรรมได้ ก็ตอนนี้ท่านอาจารย์ก็ กำลังให้สิ่งที่จะไม่ล่วงขณะในการฟังนะครับ ในการตั้งใจไตร่ตรอง จนกว่าจะรู้อรรถะรู้ธรรมะ แล้วก็ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แล้วก็ทำประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อิ่นต่อไป ครับ

ท่านอาจารย์: เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? พระคุณมหาศาล เริ่มจากไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็เห็นประโยชน์ แล้วก็รู้ว่า แค่นี้ไม่พอ!! พระองค์ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทุกคำเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อเข้าใจขึ้น และตรงต่อความเป็นจริง สิ่งที่พอใจทั้งหมดกับความเห็นถูกต้อง อะไรมีค่ากว่ากัน

อ.อรรณพ: ความเห็นถูกต้อง

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงมั่นคงในการที่จะเห็นถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น จึงจะฟังเพิ่มขึ้นไตร่ตรองเพิ่มขึ้นเป็นปกติ เพราะเป็นธรรมะทั้งหมด แค่นี้!! เป็นปกติเพราะเป็นธรรมะทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ก็ศึกษาธรรมะทีละหนึ่งๆ ๆ ๆ ให้เข้าใจในความไม่ใช่เรา ทำไมเราพูดถึงเจตสิกแต่ละหนึ่ง เพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าจะมีความมั่นคงจนกระทั่งมีปัจจัยพอที่จะให้สภาพธรรมะที่เป็นใหญ่เกิดขึ้นสามารถที่จะระลึกได้ในความจริงที่ได้ฟังในสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ที่มีลักษณะที่ปรากฏตามที่ได้ฟังให้เริ่มเข้าใจถูกต้องทีละเล็กทีละน้อยกว่าจะรู้จริง จนกระทั่งหมดความไม่รู้ในการที่ไปยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน ก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น เป็นแค่เกิดปรากฏ แล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ แล้วสิ่งนั้นจะมีค่าไหมกับการเข้าใจที่ถูกต้อง แม้ความเข้าใจก็เกิดดับไม่พ้นเลย

กว่าจะละคลายความติดข้องไม่ว่าในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้งหมด จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

กว่าจะถึงวันนั้นกว่าจะถึงขณะนั้น ถ้าไม่มีการฟังเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น จะถึงได้ไหม ในเมื่อเหตุไม่สมควรที่จะให้เกิดก็เกิดไม่ได้

ขอเชิญอ่านได้ที่ ..

วิริยารัมภกถา

ภาวะแห่งบุคคลผู้แกล้วกล้า [วิริยารัมภกถา]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 9 ต.ค. 2568

กว่าจะละคลายความติดข้องไม่ว่าในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้งหมด จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด กว่าจะถึงวันนั้น กว่าจะถึงขณะนั้น ถ้าไม่มีการฟังเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น จะถึงได้ไหม ในเมื่อเหตุไม่สมควรที่จะให้เกิดก็เกิดไม่ได้

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ