๖. คติกถา ว่าด้วยคติสมบัติ
โดย บ้านธัมมะ  25 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40955

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 403

มหาวรรค

คติกถา

ว่าด้วยคติสมบัติ หน้า 403

อรรถกถาคติกถา หน้า 408


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 403

มหาวรรค คติกถา

ว่าด้วยคติสมบัติ

[๕๑๗] ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร เทวดาชั้นรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร เทวดาชั้นอรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร.

ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการ กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการ เทวดาชั้นรูปาวจร เทวดาชั้นอรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการ.

[๕๑๘] ในธรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการเป็นไฉน.

ในขณะแล่นไป (ชวนขณะ) แห่งกุศลกรรม เหตุ ๓ ประการเป็นกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะความพอใจ เหตุ ๒ ประการเป็นอกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะปฏิสนธิ เหตุ ๓ ประการ เป็นอัพยากฤต เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้วิญญาณเป็น


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 404

ปัจจัย ก็มีนามรูป ในขณะปฏิสนธิ เบญจขันธ์เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ มหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เครื่องปรุงชีวิต ๓ ประการเป็นสหชาตปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและรูปเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๑๔ ประการนี้ เป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อรูปขันธ์ ๔ เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อินทรีย์ ๕ เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เหตุ ๓ ประการเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและวิญญาณเป็นสหชาตปัจจัย... เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๑๔ ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๒๘ ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในกรรมอันสัมปยุตตญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการนี้.

[๕๑๙] ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการเป็นไฉน.

ในขณะแล่นไป (ชวนขณะ) แห่งกุศลกรรม เหตุ ๓ ประการเป็นกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะความพอใจ เหตุ ๒ ประการเป็นอกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะปฏิสนธิ เหตุ ๓ ประการ


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 405

เป็นอัพยากฤต เป็นสหชาตปัจจัยแก่เจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ก็มีนามรูป ในขณะปฏิสนธิ เบญจขันธ์เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ มหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เครื่องปรุงชีวิต ๓ ประการเป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและรูปเป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๑๔ ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อรูปขันธ์ ๔ เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อินทรีย์ ๕ เป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เหตุ ๓ ประการเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและวิญญาณเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๑๔ ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๒๘ ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการนี้.

[๕๒๐] เทวดาชั้นรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการเป็นไฉน.

ในขณะแล่นไป (ชวนขณะ) ในกุศลกรรม เหตุ ๓ ประการเป็นกุศล ฯลฯ เทวดาชั้นรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการนี้.

เทวดาชั้นอรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการเป็นไฉน.


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 406

ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม เหตุ ๓ ประการเป็นกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแก่เจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะความพอใจ เหตุ ๒ ประการเป็นอกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะปฏิสนธิ เหตุ ๓ ประการเป็นอัพยากฤต เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ก็มีนามรูป ในขณะปฏิสนธิ อรูปขันธ์ ๔ เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อินทรีย์ ๕ เป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เหตุ ๓ ประการเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและวิญญาณเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๑๔ ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นสัมปยุตตปัจจัย เทวดาชั้นอรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการนี้.

[๕๒๑] ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณ (วิปปยุตจากญาณ) คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิด เพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร.

ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณ คติสมบัติย่อมเกิดเพราะปัจจัยเเห่งเหตุ ๖ ประการ กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๖ ประการ.

[๕๒๒] ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๖ ประการเป็นไฉน.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 407

ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม เหตุ ๒ ประการเป็นกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะความพอใจ เหตุ ๒ ประการเป็นอกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะปฏิสนธิ เหตุ ๒ ประการ เป็นอัพยากฤต เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ก็มีนามรูป ในขณะปฏิสนธิ เบญจขันธ์เป็นสหชาตปัจจัยเป็น อัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ มหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เครื่องปรุงชีวิต ๓ ประการเป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและรูปเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๑๔ ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อรูปขันธ์ ๔ เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นสัมปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อินทรีย์ ๔ เป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เหตุ ๒ ประการเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและวิญญาณเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๑๒ ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม ๒๖ ประการเป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในกรรมอันวิปปยุตจากญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๖ ประการนี้ กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๖ ประการนี้.


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 408

ในกรรมอันวิปปยุตจากญาณ กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๖ ประการเป็นไฉน.

ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม เหตุ ๒ ประการเป็นกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ฯลฯ ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณ (ในกรรมอันวิปปยุตจากญาณ) กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๖ ประการนี้.

จบคติกถา

อรรถกถาคติกถา

บัดนี้ การพรรณนาความตามลำดับที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งคติกถาที่พระสารีบุตรเถระแสดงถึงเหตุสมบัติอันเป็นเหตุแห่งการเกิดวิโมกข์นั้นกล่าวไว้แล้ว แม้ฌานก็จะไม่เกิดขึ้นแม้แก่ผู้เป็นทุเหตุกปฏิสนธิ เพราะพระบาลีว่า นตฺถิ ฌานํ อปญฺสฺส (ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา) ก็วิโมกข์จะเกิดได้อย่างไร.

ในบทเหล่านั้น บทว่า คติสมฺปตฺติยา (คติสมบัติ) คือคติสมบัติอันได้แก่มนุษย์และเทพ ในบรรดาคติ ๕ คือนรก กำเนิดเดียรัจฉาน เปรตวิสัย มนุษย์และเทพ ด้วยบทนี้แล ท่านปฏิเสธคติวิบัติ ๓ ข้างต้น สมบัติแห่งคติ ชื่อว่า คติสมบัติ ท่านอธิบายว่า สุคติ.

อนึ่ง ขันธ์ทั้งหลายพร้อมกับโอกาส ชื่อว่า คติ และในคติทั้ง ๕ ท่านถือเอาแม้อสุรกาย ด้วยศัพท์ว่า เปตติวิสัย (ปิตติวิสัย).

บทว่า เทวา ได้แก่ กามาวจรเทพ ๖ ชั้น และพรหมทั้งหลาย แม้อสูรท่านก็


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 409

สงเคราะห์ศัพท์ว่า เทว (เทพ).

บทว่า าณสมฺปยุตฺเต (ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ) คือในขณะปฏิสนธิสัมปยุตด้วยญาณ จริงอยู่ แม้ขณะก็พึงทราบว่า ท่านกล่าวด้วยโวหารนั้นนั่นเอง เพราะประกอบด้วยญาณสัมปยุต.

บทว่า กตีนํ เหตูนํ (แห่งเหตุเท่าไร) คือแห่งเหตุเท่าไร ในบรรดาอโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุ.

บทว่า อุปปตฺติ (อุบัติ) คือการเกิด อธิบายว่า การบังเกิด.

อนึ่ง เพราะแม้เกิดในตระกูลศูทรก็เป็นติเหตุกะได้ ฉะนั้น คำถามแรก จึงหมายถึงติเหตุกสัตว์เหล่านั้น และเพราะคนมีบุญมาก โดยมากเกิดในตระกูลมหาศาล ๓ ตระกูล ฉะนั้น คำถามจึงมี ๓ อย่าง ด้วยสามารถแห่งตระกูล ๓ เหล่านั้น แต่ท่านย่อปาฐะไว้.

ชื่อว่า มหาสาลา (มหาศาล) เพราะมีสมบัติมาก อธิบายว่า มีเรือนใหญ่ มีทรัพย์สมบัติมาก อีกอย่างหนึ่ง ควรกล่าวว่า มหาสารา เพราะมีสิ่งที่เป็นสาระมาก ท่านกล่าวว่า มหาสาลา เพราะแปลง อักษรเป็น อักษร ชื่อว่า ขตฺติยมหาสาลา (กษัตริย์มหาศาล) เพราะเป็นกษัตริย์มหาศาล หรือมหาศาลในกษัตริย์ แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ในบทนั้น กษัตริย์ใดเก็บทรัพย์อย่างต่ำ ๑๐๐ โกฏิไว้ที่พระราชมณเฑียร ใช้จ่ายกหาปณะวันละ ๒๐ อัมพณะ กษัตริย์นี้ ชื่อว่า กษัตริย์มหาศาล.

พราหมณ์ใดเก็บทรัพย์อย่างต่ำ ๘๐ โกฏิไว้ที่เรือน ใช้จ่ายกหาปณะวันละ ๑๐ อัมพณะ พราหมณ์นี้ ชื่อว่า พราหมณ์มหาศาล.

คฤหบดีใดเก็บทรัพย์ อย่างต่ำ ๔๐ โกฏิไว้ที่เรือน ใช้จ่ายกหาปณะวันละ ๕ อัมพณะ คหบดีนี้ ชื่อว่า คฤหบดีมหาศาล.

เพราะเทพชั้นรูปาวจรและเทพชั้นอรูปาวจรเป็นติเหตุกะโดยส่วนเดียว ท่านจึงไม่กล่าวว่า าณสมฺปยุตฺเต (ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ) แต่ในมนุษย์และเทพทั้งหลายที่เหลือ เพราะมีทุเหตุกะและอเหตุกะในมนุษย์ทั้งหลาย และในเทพชั้น


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 410

กามาวจรที่เหลือเพราะมีทุเหตุกะท่านจึงกล่าว าณสมฺปยุตฺเต.

อนึ่ง กามาวจรเทพทั้งหลายในที่นี้ ชื่อว่า เทวา (เทพ) เพราะเพลิดเพลินด้วยความยินดีในกามคุณ ๕ และรุ่งเรืองด้วยรัศมีแห่งร่างกาย รูปาวจรพรหมทั้งหลาย ชื่อว่า เทวา (เทพ) เพราะเพลิดเพลินด้วยความยินดีในฌาน และรุ่งเรืองด้วยรัศมีแห่ง ร่างกาย. อรูปาวจรพรหมทั้งหลาย ชื่อว่า เทวา เพราะเพลิดเพลินด้วยความยินดีในฌาน และรุ่งเรืองด้วยรุ่งเรืองแห่งญาณ.

บทว่า กุสลกมฺมสฺส ชวนกฺขเณ (ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม) คือในขณะแล่นไป (ชวนขณะ) แห่งกุศลกรรมอันเป็นติเหตุกกามาวจรอันยังติเหตุกปฏิสนธิให้เกิดในในภพนี้จากอดีตชาติ ด้วยอำนาจการเกิดบ่อยๆ ในชวนวิถีจิต ๗ วาระ ความว่า ในกาลอันเป็นไป (ในปวัตติกาล).

บทว่า ตโย เหตู กุสลา (เหตุ ๓ ประการเป็นกุศล) คืออโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นกุศลเหตุ.

บทว่า ตสฺมิํ ขเณ ชาตเจตนาย (แห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น) คือแห่งกุศลเจตนาที่เกิดในขณะดังกล่าวแล้วนั้น.

ขบทว่า สหชาตปจฺจยา โหนฺติ (เป็นสหชาตปัจจัย) คือเมื่อเกิดย่อมเป็นอุปการะโดยความเกิดร่วมกัน.

บทว่า เตน วุจฺจติ (ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าว) คือกล่าวด้วยความเป็นสหชาตปัจจัยนั้นนั่นแล.

บทว่า กุสลมูลปจฺจยาปิ สงฺขารา (แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็เกิดสังขาร) ท่านกล่าวโดยนัยแห่งปัจจยาการอันเป็นไปในขณะจิตดวงเดียว อนึ่ง พึงทราบว่า ท่านสงเคราะห์เจตสิกทั้งหมด อันสงเคราะห์ด้วยสังขารขันธ์ในบทนั้นด้วยพหุวจนะว่า สงฺขารา (สังขารทั้งหลาย) ท่านกล่าวว่า กุสลมูลานิ ก็มี ด้วย อปิ ศัพท์ มีคำอธิบายว่า แม้เพราะสังขารเป็นปัจจัย ก็มีกุศลมูล.

บทว่า นิกฺกนฺติกฺขเณ (ในขณะความพอใจ) ได้แก่ในขณะความพอใจแห่งสังขารอันเกิดขึ้นในกรรมที่ปรากฏเฉพาะหน้าเพื่อให้


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 411

วิบากของตน หรือในกรรมนิมิตหรือในคตินิมิตอันกรรมที่ปรากฏเฉพาะหน้าให้ปรากฏแล้วอย่างนั้น.

บทว่า นิกนฺติ (ความพอใจ) คือความใคร่ ความปรารถนา จริงอยู่ เพราะใกล้จะตายมีจิตวุ่นวายด้วยโมหะ ความพอใจย่อมเกิดขึ้นแม้ในข่าย (เปลวไฟ) แห่งอเวจีมหานรก จะป่วยการไปใยในนิมิตที่เหลือ.

บทว่า เทฺว เหตู (เหตุ ๒ ประการ) คือโลภะ โมหะเป็นอกุศลเหตุ ส่วนความพอใจในภพปรารภขันธสันดานของตนที่เพียงออกไปจากภวังควิถี อันเป็นไปแล้วในลำดับแห่งปฏิสนธิ ย่อมเกิดขึ้นแม้แก่สังขารทั้งปวง บทมีอาทิอย่างนี้ว่า ก็หรือว่า อกุศลธรรมไม่เคยเกิดขึ้นแก่บุคคลใด ในภูมิใด กุศลธรรมทั้งหลายก็ไม่เคยเกิดแก่บุคคลนั้น ในภูมินั้นหรือ มีคำตอบว่า ใช่ ดังนี้ ท่านกล่าวหมายถึงความพอใจนี้นั่นแล.

บทว่า ตสฺมิํ ขเณ ชาตเจตนาย (แห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น) คืออกุศลเจตนา.

บทว่า ปฏิสนฺธิกฺขเณ (ในขณะแห่งปฏิสนธิ) คือในขณะแห่งปฏิสนธิที่ถือเอาแล้วด้วยกรรมนั้น (ที่กรรมนั้นให้ผล).

บทว่า ตโต เหตู (เหตุ ๓ ประการ) คืออโลภะ อโทสะ อโมหะเป็นอัพยากตเหตุ.

บทว่า ตสฺมิํ ขเณ ชาตเจตนาย (แห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น) คืออัพยากตเจตนาอันเป็นวิบาก.

ในบทนี้ว่า นามรูปปจฺจยาปิ วิญฺาณํ (แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ) ในขณะปฏิสนธินั้น วิบากเหตุ ๓ และเจตสิกที่เหลือเป็นนาม หทยวัตถุเป็นรูป แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัยนั้นปฏิสนธิวิญญาณย่อมเป็นไป.

นามแม้ในบทว่า วิญฺาณปจฺจยาปิ นามรูปํ (แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ก็มีนามรูป) นี้ มีประการดังได้กล่าวแล้ว ส่วนรูปในบทนี้ได้แก่ รูป ๓๐ คือวัตถุทสกะ กายทสกะ ภาวทสกะ ของสัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ เพราะท่านประสงค์เอาปฏิสนธิพร้อมด้วยเหตุ (สเหตุกะ) ของมนุษย์ อนึ่ง ได้แก่ รูป ๗๐ คือจักขุทสกะ โสตทสกะ ฆานทสกะ ชิวหาทสกะ (และรูป ๓๐ ข้างต้น) ของสังเสทชะ และของโอปปาติกะซึ่งมีอายตนะครบ


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 412

นามรูปมีประการดังกล่าวแล้วนั้น ย่อมเป็นไปเพราะปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจัยในขณะปฏิสนธิ.

ในบทนี้ว่า ปญฺจกฺขนฺธา (ขันธ์ ๕) คือรูปที่ได้ในขณะปฏิสนธิด้วยปฏิสนธิจิตเป็นรูปขันธ์ เวทนาที่เกิดร่วมกันเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือเป็นสังขารขันธ์ ปฏิสนธิจิตเป็นวิญญาณขันธ์.

บทว่า สหชาตปจฺจยา โหนฺติ (เป็นสหชาตปัจจัย) คือขันธ์ไม่มีรูป ๔ (อรูปขันธ์ ๔) เป็นสหชาตปัจจัยของกันและกัน มหาภูตรูป ๔ ในรูปขันธ์เป็นสหชาตปัจจัยของกันและกัน ขันธ์ไม่มีรูปและหทยรูปเป็นสหชาตปัจจัยของกันและกัน แม้มหาภูตรูปก็เป็นสหชาตปัจจัยของอุปาทารูป.

บทว่า อญฺมญฺปจฺจยา โหนฺติ (เป็นอัญญมัญญปัจจัย) คือเบญจขันธ์เป็นอุปการะแก่กันและกันด้วยความเกิดขึ้นและอุปถัมภ์ ขันธ์ไม่มีรูป ๔ ก็เป็นอัญญมัญญปัจจัย มหาภูตรูป ๔ ก็เป็นอัญญมัญญปัจจัย.

บทว่า นิสสยปจฺจยา โหนฺติ (เป็นนิสสยปัจจัย) คือเบญจขันธ์เป็นอุปการะโดยอาการตั้งมั่นไว้และโดยอาการเป็นที่อาศัย ขันธ์ไม่มีรูป ๔ เป็นนิสสยปัจจัยของกันและกัน เพราะเหตุนั้น พึงให้พิสดารดุจสหชาตปัจจัย.

บทว่า วิปฺปยุตฺตปจฺจยา โหนฺติ (เป็นวิปปยุตตปัจจัย) คือเบญจขันธ์เป็นอุปการะโดยความวิปปยุตคปัจจัย ด้วยการไม่เข้าถึงภาวะมีวัตถุอย่างเดียวกันเป็นต้น ขันธ์ไม่มีรูปเป็นวิปปยุตตปัจจัยของปฏิสนธิรูป หทัยรูปเป็นวิปปยุตตปัจจัยของขันธ์ไม่มีรูป เพราะในบทนี้ว่า ปญฺจกฺขนฺธา (เบญจขันธ์) ท่านกล่าวด้วยสามารถตามที่มีได้ ด้วยประการฉะนี้.

ในบทว่า จตฺตาโร มหาภูตา (มหาภูตรูป ๔) นี้ ท่านกล่าวถึง ปัจจัย ๓ ก่อน.

บทว่า ตโย ชีวิตสงฺขารา (เครื่องปรุงชีวิต ๓ ประการ) คืออายุ ไออุ่นและวิญญาณ.

บทว่า อายุ ได้แก่ รูปชีวิตินทรีย์และอรูปชีวิตินทรีย์.


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 413

บทว่า อุสฺมา (ไออุ่น) ได้แก่ เตโชธาตุ.

บทว่า วิฺาณํ (วิญญาณ) ได้แก่ ปฏิสนธิวิญญาณ.

จริงอยู่ ชื่อว่า ชีวิตสังขาร (เครื่องปรุงชีวิต) เพราะอายุ ไออุ่น และวิญญาณเหล่านี้ ย่อมปรุงชีวิตสังขาร คือให้เป็นไปยิ่งๆ ขึ้น.

บทว่า สหชาตปจฺจยา โหนฺติ (เป็นสหชาตปัจจัย) พึงทราบว่า อรูปชีวิตินทรีย์และปฏิสนธิวิญญาณ เป็นอัญญมัญญปัจจัยและสหชาตปัจจัยของขันธ์อันสัมปยุตกันเเละหทัยรูป เตโชธาตุเป็นอัญญมัญญปัจจัยและสหชาตปัจจัยของมหาภูตรูป ๓ และเป็นสหชาตปัจจัยของอุปาทายรูป รูปชีวิตินทรีย์เป็นสหชาตปัจจัยโดยปริยายของสหชาตรูป.

บทว่า อญฺมญฺปจฺจยา โหนฺติ นิสฺสยปจฺจยา โหนฺติ (เป็น อัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย) คืออรูปชีวิตินทรีย์และปฏิสนธิวิญญาณ ทั้ง ๒ เป็นอัญญมัญญปัจจัยของขันธ์อันสัมปยุตกัน พึงทราบประกอบโดยนัยที่ท่านกล่าวไว้ว่า อญฺมญฺนิสฺสยปจฺจยา โหนฺติ (เป็นอัญญมัญญปัจจัยและนิสสยปัจจัย).

บทว่า วิปฺปยุตฺตปจฺจยา โหนฺติ เป็นวิปปยุตตปัจจัย คืออรูปชีวิตินทรีย์และปฏิสนธิวิญญาณย่อมเป็นวิปปยุตตปัจจัยของปฏิสนธิรูป ส่วนรูปชีวิตินทรีย์ไม่เหมาะในความเป็นอัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัยและวิปปยุตตปัจจัย เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวด้วยอำนาจตามที่มีได้ว่า ตโย ชีวิตสงฺขารา (เครื่องปรุงชีวิต ๓) ดังนี้ พึงประกอบนามและรูปในความเป็นปัจจัย ๔ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

บทว่า จุทฺทส ธมฺมา (ธรรม ๑๔ ประการ) คือธรรม ๑๔ ประการโดยการนับอย่างนี้ คือขันธ์ ๕ มหาภูตรูป ๔ ชีวิตสังขาร ๓ (เครื่องปรุงชีวิต ๓) นาม ๑ รูป ๑ ความเป็นปัจจัยมีสหชาตปัจจัยเป็นต้นของธรรมเหล่านั้นและธรรมอื่นข้างหน้า มีนัยดังกล่าวแล้ว.


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 414

บทว่า สมฺปยุตฺตปจฺจยา โหนฺติ (เป็นสัมปยุตตปัจจัย) คือธรรมทั้งหลายเป็นอุปการะอีกโดยความสัมปยุตกัน กล่าวคือ มีวัตถุเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน.

บทว่า ปญฺจินฺทฺริยา (อินทรีย์ ๕) ได้แก่ สัทธินทรีย์เป็นต้น.

บทว่า นามญฺจ (นาม) ในที่นี้ได้แก่ ขันธ์ ๓ มีเวทนาขันธ์ เป็นต้น.

บทว่า วิญฺาณญฺจ (และวิญญาณ) ได้แก่ ปฏิสนธิวิญญาณ.

บทว่า จุทฺทส ธมฺมา (ธรรม ๑๔ ประการ) คือธรรม ๑๔ ประการอีกโดยการนับอย่างนี้ คือขันธ์ ๔ อินทรีย์ ๕ เหตุ ๓ นาม ๑ รูป ๑.

บทว่า อฏฺวีสติ ธมฺมา ธรรม ๒๘ ประการ คือตอนต้น ๑๔ และธรรมเหล่านี้ ๑๔ เพราะแม้รูปก็นับเข้าในธรรมนี้ ท่านจึงนำสัมปยุตตปัจจัยออกแล้วกล่าววิปปยุตตปัจจัย.

พระสารีบุตรเถระครั้นแสดงถึงประเภทของปัจจัยนั้นๆ แห่งธรรมอันเกิดขึ้นเพราะปัจจัยนั้นๆ ซึ่งมีอยู่ในปฏิสนธิอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงสรุปเหตุที่ชี้แจงไว้แต่ต้น จึงกล่าวว่า อิเมสํ อฏฺนฺนํ เหตูนํ ปจฺจยา อุปฺปตฺติ โหติ (ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการเหล่านี้) เหตุ ๘ ประการอย่างนี้ คือกุศลเหตุ ๓ ในขณะประมวลกรรมมา อกุศลเหตุ ๒ ในขณะพอใจ อัพยากตเหตุ ๓ ในขณะปฏิสนธิ ในเหตุเหล่านั้น กุศลเหตุ ๓ และอกุศลเหตุ ๒ เป็นอุปนิสสยปัจจัยโดยความเป็นไปในขณะปฏิสนธินี้ อัพยากตเหตุ ๓ เป็นปัจจัยด้วยอำนาจเหตุปัจจัยและสหชาตปัจจัยตามสมควร แม้ในวาระที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

อนึ่ง เพราะอรูปาวจรไม่มีรูป ท่านจึงกล่าวว่า แม้นามเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้วิญญาณเป็นปัจจัย ก็มีนาม แม้ธรรม ๑๔ ที่ปนกับรูปก็หายไป เพราะธรรม ๑๔ ที่เจือด้วยรูปนั้นหายไป ในวาระว่า อฏฺวีสติ ธมฺมา ธรรม ๒๘ ประการ จึงไม่มี ดังนี้.


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 415

บัดนี้ พระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงติเหตุกปฏิสนธิอันเป็นปัจจัยแห่งวิโมกข์แล้ว ประสงค์จะแสดงติเหตุกปฏิสนธิให้พิเศษด้วยการสัมพันธ์กันนั้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า คติสมฺปตฺติยา าณวิปฺปยุตฺเต (ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณคติสมบัติ) ย่อมมีเหตุเกิด.

บทว่า กุสลกมฺมสฺส ชวนกฺขเณ (ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม) คือในขณะแล่นไป (ชวนจิต) แห่งกุศลกรรมอันเป็นทุเหตุกะ อันให้เกิดปฏิสนธิในภพนี้จากอดีตชาติ ตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

บทว่า เทฺว เหตู (เหตุ ๒ ประการ) คืออโลภะ อโทสะ เป็นกุศลเหตุ เพราะไม่ประกอบด้วยญาณ (วิปปยุตจากญาณ) แม้อัพยากตเหตุก็มี ๒ คืออโลภะ อโทสะเหมือนกัน.

บทว่า จตฺตาริ อินฺทฺริยานิ คืออินทรีย์ ๔ มีสัทธินทรีย์เป็นต้น เว้นปัญญินทรีย์.

บทว่า ทฺวาทส ธมฺมา (ธรรม ๑๒ ประการ) คือธรรม ๑๒ ประการ เพราะปัญญินทรีย์และอโมหเหตุลดไป เพราะธรรม ๒ ประการนั้น ลดไป (หายไป) จึงเป็นธรรม ๒๖.

บทว่า ฉนฺนํ เหตูนํ (แห่งเหตุ ๖ ประการ) อย่างนี้ คือกุศลเหตุ ๒ อกุศลเหตุ ๒ วิปากเหตุ ๒ แต่ในที่นี้ ไม่ถือเอารูปาวจรและอรูปาวจร เพราะเป็นติเหตุกะโดยส่วนเดียว พึงทราบบทที่เหลือโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในปฐมวาระนั่นแหละ ในวาระนี้ ท่านกล่าวไว้ว่า ปฏิสนธิอันเป็นทุเหตุกะ ย่อมไม่มีด้วยกรรมอันเป็นติเหตุกะ เพราะกรรมอันเป็นทุเหตุกะท่านกล่าวแล้วด้วยปฏิสนธิอันเป็นทุเหตุกะเท่านั้น.

เพราะฉะนั้น คำใดที่ท่านกล่าวไว้ในวาทะของพระมหาธรรมรักขิตเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก ในอรรถกถาธรรมสังคหะว่า ปฏิสนธิด้วยติเหตุกกรรม เป็นติเหตุกะเท่านั้น ไม่เป็นทุเหตุกะและอเหตุกะ ทุเหตุกะและอเหตุกะย่อมเป็นด้วยกรรมอันเป็นทุเหตุกะ (ทุเหตุกกรรม) ไม่เป็นติเหตุกะ คำนั้นสมด้วยบาลีนี้.

ส่วนคำใด


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 416

ที่ท่านกล่าวไว้ในวาทะของพระจูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฏก และพระมหาทัตตเถระผู้อยู่ ณ โมรวาปี คำใดท่านกล่าวว่า ปฏิสนธิด้วยติเหตุกกรรม เป็นติเหตุกะบ้าง เป็นทุเหตุกะบ้าง ย่อมมีได้ด้วยกรรมอันเป็นติเหตุกะ ไม่เป็นอเหตุกะ ปฏิสนธิด้วยทุเหตุกกรรม เป็นทุเหตุกะบ้าง เป็นอเหตุกะบ้าง ย่อมมีได้ด้วยกรรมอันเป็นทุเหตุกะ ไม่เป็นติเหตุกะ คำนั้นปรากฏคล้ายจะพลาดไปจากบาลีนี้ เพราะกถานี้ว่าด้วยอธิการแห่งเหตุ จึงไม่กล่าวถึงอเหตุกปฏิสนธิ.

จบอรรถกถาคติกถา