ภาครัฐจะเก็บภาษีกับพระภิกษุได้หรือไม่
โดย มศพ.  2 มิ.ย. 2558
หัวข้อหมายเลข 26598

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต

สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต

สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต

สมฺมาสมฺพุทธสฺสพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

-พระภิกษุในพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น เป็นผู้ที่มีศรัทธา มีความจริงใจ ที่จะศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ น้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้อง ละเว้นในสิ่งที่ผิดที่ขัดต่อความประพฤติเป็นไปของบรรพชิตอันเป็นเพศที่สูงยิ่ง ดังนั้น พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จึงไม่รับเงินและทอง รับเงินและทองไม่ได้ เป็นผู้ปราศจากเงินและทองอย่างสิ้นเชิง เพราะท่านเหล่านั้น ต้องสละทรัพย์สินเงินทองก่อนบวชแล้ว

ดังนั้น เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว จึงรับเงินและทองไม่ได้ เงินทองไม่ควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง ไม่มีพระพุทธดำรัสแม้แต่คำเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสให้พระภิกษุรับเงินและทองหรือไปแสวงหาเงินและทอง ตามข้อความจาก

[เล่มที่ 29] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ มณิจูฬกสูตร ว่า

“ทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน สมณศากยบุตร ห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน ...

เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตรพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงิน โดยปริยายอะไรเลย”

-พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ไม่มีเงินและทอง มีเพียงบริขารเครื่องใช้อันเหมาะควรแก่บรรพชิตและอาศัยปัจจัย ๔ ในการดำรงชีวิตเพื่อให้ชีวิตเป็นไปได้ในการที่จะศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลส เท่านั้น ได้แก่ อาหารบิณฑบาตที่มาจากศรัทธาของชาวบ้าน จีวรเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคเมื่อเกิดอาพาธ ในเมื่อพระภิกษุไม่มีเงินและทอง ภาครัฐจะมาเก็บภาษีกับพระภิกษุได้อย่างไร

-พระภิกษุรูปใด รับเงินและทอง ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตย์ สิกขาบทที่ ๘ แห่งโกสิยวรรค ว่า “อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” ต้องสละเงินนั้นในท่ามกลางสงฆ์ จึงจะแสดงอาบัติ (ปลงอาบัติ) ได้ จึงจะทำให้เป็นผู้พ้นจากโทษนั้นได้ แต่ถ้าภิกษุรูปใด มีเงินและทอง รับเงินและทอง ยินดีในเงินและทองแม้ที่เขาเก็บไว้ให้เพื่อตน ไม่เห็นโทษของการล่วงละเมิดพระวินัย ภิกษุนั้น ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ แต่เป็นผู้ไม่มีความละอาย ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย เป็นผู้ไม่ได้กระทำตามที่ได้ปฏิญาณไว้ว่าตนเองเป็นพระภิกษุอันเป็นเพศที่แตกต่างไปจากคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง เป็นมหาโจร หลอกลวงชาวบ้าน

-ถ้าหากภาครัฐออกกฎหมายว่า จะต้องเก็บภาษีกับพระภิกษุ ก็แสดงว่าทางภาครัฐยอมรับว่า พระภิกษุรับเงินและทองได้ เป็นการสมยอมในความผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เป็นการบิดเบือน เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องจากว่าพระภิกษุรับเงินและทองไม่ได้ มีเงินและทองไม่ได้ ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินและทองไม่ได้โดยประการทั้งปวง

-การแก้ปัญหาที่แท้จริง ต้องกลับมาตั้งต้นที่การศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากความไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง, เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว รู้ว่าสิ่งใดผิด ก็จะทำให้ถูกต้องขึ้น ไม่ทำผิดเหมือนอย่างที่เคยทำ.


...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 2 มิ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย pat_jesty  วันที่ 2 มิ.ย. 2558

คาดว่าผู้ที่กำหนดนโยบายไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างละเอียดรอบคอบ แต่มองจากสถานการณ์ความเป็นจริงในปัจจุบันที่พระภิกษุมีเงินทองมากมาย จึงพยายามที่จะเก็บภาษี ดังนั้น แนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสมกับพระภิกษุที่มีเงินทองควรเป็นอย่างไร และเงินทองเหล่านั้นควรจัดการอย่างไรคะ


ความคิดเห็น 3    โดย มศพ.  วันที่ 2 มิ.ย. 2558
อ้างอิงจาก ความคิดเห็นที่ 2 โดย pat_jesty

คาดว่าผู้ที่จะกำหนดนโยบายไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างละเอียดรอบคอบ แต่มองจากสถานการณ์ความเป็นจริงในปัจจุบันที่พระภิกษุมีเงินทองมากมาย จึงพยายามที่จะเก็บภาษีดังนั้น แนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสมกับพระภิกษุที่มีเงินทองควรเป็นอย่างไร และเงินทองเหล่านั้นควรจัดการอย่างไรคะ

ต้องไม่ลืมข้อนี้จริงๆ ว่า พระภิกษุรับเงินรับทองไม่ได้ ไม่ว่าจะรับเพื่อตน หรือ รับเพื่อผู้อื่นก็ไม่ได้ทั้งนั้น ผิดพระวินัย

ในเบื้องต้น อาศัยความสามัคคีของสงฆ์ คณะสงฆ์สามารถตักเตือนให้ภิกษุรูปนั้นๆ เห็นถูกต้องตามพระธรรมวินัยได้ว่าการรับเงิน ผิดพระวินัย แล้วให้ท่านสละเงินท่ามกลางสงฆ์แล้วแสดงอาบัติ

ต่อจากนั้นคฤหัสถ์ไวยาวัจกร (คฤหัสถ์ผู้ขวนขวายช่วยเหลือในสิ่งที่เป็นประโยชน์) เป็นผู้มาดำเนินการในเรื่องเงินของท่านให้เป็นไปตามพระวินัย

แต่ถ้าท่านไม่ยอมสละ ยังรับเงินทอง ก็ให้เข้าใจว่า นั่นไม่ใช่พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่ดำรงอยู่ในศีลของพระภิกษุ เป็นผู้ทรยศต่อพระรัตนตรัย เพราะได้ปฏิญาณตนว่าจะเป็นพระภิกษุ แต่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ได้ขัดเกลาตนเองอย่างที่ได้ปฏิญาณไว้ ได้แต่เที่ยวย่ำยีพระธรรมวินัย เป็นผู้เสื่อมจากคุณความดีที่จะพึงมีพึงได้จากการเข้ามาสู่พระธรรมวินัยนี้ เพราะพระภิกษุในพระธรรมนัยนี้จริงๆ ต้องไม่รับเงินไม่ใช้จ่ายเงินโดยประการทั้งปวง


ความคิดเห็น 4    โดย Boonyavee  วันที่ 2 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย ประสาน  วันที่ 3 มิ.ย. 2558

ถ้าทำ แสดงว่ารัฐบาลมักง่าย โง่ เพราะเอากฎหมายใหญ่กว่าพระธรรมวินัย เคยทำมาก่อนแล้ว (มีตัวอย่างมาก่อนแล้วครับ) ซึ่งทุกวันนี้ก็ปล่อยให้พระทำผิดพระธรรมวินัยโดยไม่จัดการอะไรเลย

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย Patchanon  วันที่ 3 มิ.ย. 2558

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย ananta  วันที่ 3 มิ.ย. 2558

ในปัจจุบันทั้งภาครัฐและเอกชนส่วนมากเข้าใจผิดว่าพระรับเงินได้ พวกเราคงต้องเริ่มที่ตัวเราคือ ไม่ถวายเงินพระและแนะนำคนรอบข้างเท่าที่จะทำได้


ความคิดเห็น 8    โดย Noparat  วันที่ 3 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

พระภิกษุที่น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัยจริงๆ หายากมากค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย athisamai  วันที่ 3 มิ.ย. 2558

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐมองเห็นข้อมูลบางอย่าง มองเห็นเม็ดเงินมหาศาลที่จะได้จากการนี้ เพราะไม่รู้ จึงมองเห็นแต่ประโยชน์ที่จะได้ เอาเงินบาปไปใช้มีหรือจะเกิดคุณความดี พระละเมิดพระวินัยคือละเมิดพระบรมศาสดา เป็นบาป (นิสสัคคิยปาจิตตีย์) โยมถวายก็บาป คนสนับสนุน คนเห็นดีเห็นงามด้วยก็บาป เงินของกลางก็เป็นเงินบาป

ได้ข่าวมาว่าจะให้เป็นมรดกตกทอดไปถึงเครือญาติอีกด้วย หากดำเนินการจริงพระจะหาเงินเอาจริงเอาจังมากขึ้น เพราะคิดว่าเป็นเงินถูกกฏหมาย การบวชพระก็จะกลายเป็นอาชีพเฉกเช่นอาชีพทั่วไป รับจ้างโกนหัวห่มผ้าเหลือง บิณฑบาต เทศน์ สวด เจิม ทำพิธี และอื่นๆ เพื่อเงิน เมื่อเห็นพวกที่ยังอยู่และพวกที่ออกไปมีทรัพย์มากจากการบวช พวกที่ยังไม่เข้ามาก็จะเข้ามาเพื่อการนี้ นึกแล้วน่าเศร้าใจ

ศาสนานี้เป็นมรดกที่พระบรมศาสดามอบให้เราทั้งหลายในฐานะบริษัทสี่ช่วยกันดูแล กระผมจึงขอขอบพระคุณเจ้าของกระทู้ ที่เริ่มตั้งกระทู้ ให้ความรู้ นำเอาพุทธพจน์มาแสดง ซึ่งไม่อาจปฎิเสธได้ว่าไม่จริง นับว่ามีคุณค่ายิ่งต่อการกอบกู้พระศาสนา

ส่วนตัว ผมไม่ถวายเงินพระ เลิกคบพระที่รับเงินไปนานมากแล้ว จะมีข่าวว่าเป็นอริยชั้นไหนก็ไม่คบ จะบูชาพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ (ถ้าเจอ) หรือสนับสนุนฆราวาสที่พูดและปฏิบัติตรงตามธรรมวินัยครับ

ยินดีในบุญกับเจ้าของกระทู้และสมาชิกผู้กอบกู้พระศาสนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย athisamai  วันที่ 3 มิ.ย. 2558

ความจริงไม่ควรเรียกว่าพระ เพราะพระแปลว่าประเสริฐ โดยปรมัตถ์แล้วเป็นอริยะบุคคลถึงเรียกว่าพระได้ พวกนี้ต้องเรียกตามคำของพระบรมศาสดาพระองค์เรียก อลัชชีบุคคล คือพวกชอบทำผิด พวกดื้อด้านต่อธรรมวินัยต่อสิกขาบท


ความคิดเห็น 11    โดย MrBug  วันที่ 5 มิ.ย. 2558

ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้เกิดความมั่นใจว่าทำถูกแล้ว ที่ไม่ให้เงินกับพระภิกษุ เพราะว่าไปไหนกับเพื่อนจะบอกเราเป็นคนขวางโลก ไม่เอาเงินใส่ซองให้พระ ไม่เอาเงินใส่บาตร

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย มกร  วันที่ 5 มิ.ย. 2558
กราบอนุโมทนาคะ

ความคิดเห็น 13    โดย pornchai  วันที่ 6 มิ.ย. 2558

ความไม่รู้เป็นโทษอย่างยิ่ง ความรู้เป็นสิ่งนำพาให้พ้นโทษ


ความคิดเห็น 14    โดย Jans  วันที่ 14 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย รู้จบลงที่รู้  วันที่ 16 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย athisamai  วันที่ 17 มิ.ย. 2558

นานมากแล้วที่ไม่ได้ยกมือท่วมหัว พร้อมกล่าวคำว่าสาธุ สาธุ (ดีแล้ว ดีแล้ว)
แม่บ้านที่นั่งชมด้วยกัน ก็อยู่ในอาการซาบซึ้ง ปิติ ระหว่างชมรายการบ้านธัมมะเช้าวันพุธ ที่ 17 มิถุนายน 58

ขอบพระคุณ มศพ อีกครั้งที่นำกระทู้นี้ไปเป็นหัวข้อหลักของการสนทนา
ปกติครั้งหนึ่งๆ จะมีประเด็นคำถามเป็นหัวข้อสนทนา 2-3 คำถาม
แต่วันนี้ให้เวลาทั้งหมดกับประเด็นการเก็บภาษีพระ เพื่อความกระจ่าง เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรมวินัย
สาระของการสนทนา สอดคล้องกับข้อความของการสนทนาในกระทู้นี้ ด้วยปัญญาเล็กๆ สรุปได้ว่า:

"ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไม่รับเงินและทอง จะเก็บภาษีจากใคร อย่างไร
ภิกษุที่รับเงินและทอง ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัยนี้
การจัดเก็บภาษีเป็นการรับรองการมีเงินและทองของภิกษุ ซึ่งละเมิดและทำลายธรรมวินัย"

นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดซึ่งไม่ค่อยได้ยินได้ฟังจากใคร ที่ใด เป็นประเด็นที่น่าคิดพิจารณา เช่นว่า
"เป็นมหาโจร เป็นเหมือนข้าวลีบ มีโทษต้องไปอบาย การเตือนนี้เป็นความหวังดี ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีครูเรามีแล้วคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เป็นต้นครับ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ คุณคำปั่น คุณวิชัย คุณอรรณพ คณะวิทยากร ทีมงาน ในนามของ มศพ
รายการบ้านธัมมะ และผู้ร่วมรายการทุกท่าน ขอบพระคุณที่เสียสละและกล้าที่จะนำเสนอในประเด็นนี้
เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ในสายตาผม เป็นธรรมทาน เป็นไปเพื่อกอบกู้พระศาสนาให้อยู่นาน
เพื่อความไม่เป็นโทษ เพื่อยังประโยชน์ในเบื้องต้นจนถึงที่สุด ของผู้กำลังแสวงหาทางออกและชนผู้จะมาในภายหลัง


ความคิดเห็น 17    โดย chatchai.k  วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 19    โดย athisamai  วันที่ 24 มิ.ย. 2558

วันนี้ 24 มิถุนายน

ผมกับแม่บ้านยังตื่นเช้ารอชมรายการบ้านธัมมะตามปกติครับ เนื้อหาสืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วและมีประเด็นใหม่ จากผู้ร่วมสนทนาตั้งกระทู้ถาม 3 ท่าน ขอบพระคุณท่านอาจารย์ คณะวิทยากร ผู้สร้างสรรค์รายการ ผู้ร่วมสนทนาและทุกท่านที่ร่วมรายการครับ

อ้อ มีคำถามเด็ดว่า ทำไมท่านอาจารย์จึงไม่บวช ท่านตอบด้วยสไตล์ของท่าน ถามกลับคืนว่า ทำไมไม่ถามว่า ทำไมอนาถบิณฑิกเศรษฐีหรือนางวิสาขา ถึงไม่บวชในครั้งโน้น ท่านอาจารย์ว่าเพราะท่านเหล่านั้นเข้าใจแล้วเห็นถูกแล้ว

และผมทราบมาว่า เพศฆราวาสสามารถเรียนรู้และปฏิบัติจนได้ผลถึงระดับพระอนาคามี หากรู้ตัวว่ายังไม่พร้อมที่จะรักษาวินัยให้บริบูรณ์ได้ในเพศบรรชิต ส่วนตัวผมก็ขอเดินเส้นทางนี้ไปก่อน

อีกคำถามว่า ทำไมไม่สอนเกี่ยวกับการให้ทานที่เป็นเรื่องเข้าใจง่าย ใครๆ ในที่นี้ก็ฟังเข้าใจได้ ท่านอาจารย์อธิบายให้เข้าใจธรรมะว่า ต้องเข้าใจว่าทานคืออะไร ใครให้ทาน จิตคืออะไร ธรรมะครอบคลุมทุกอย่าง หากทำทานก็ควรรู้ เข้าใจในธรรมะ


ความคิดเห็น 20    โดย Dechachot  วันที่ 24 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 22    โดย natre  วันที่ 7 ก.ค. 2558

วันแม่ วันดี ครอบครัวไปฟังธรรม เก็บสาระจากการฟังธรรม ที่ รพ.พระมงกฎเกล้า

@ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แม้ลาภยศสักการะ เงินทอง เพราะไม่มี มีแต่ธรรม

@ บางคนอาจคิดว่าลาภยศ สรรเสริญ เงินทอง สำคัญ แต่เป็นเพียงเห็นได้ยินแล้วก็ดับไป

ไม่เหลือเลย นี่คือพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า

@ ทุกคนเกิดมาหมดแล้วเป็นทุกๆ อย่างแล้ว เกิดมาชาตินี้ตายไปก็ลืมหมด เพราะฉะนั้นก็

ควรพิจารณาว่าการสะสมอะไรเป็นสิ่งที่ประเสริฐนั่นคือสะสมความเข้าใจในการฟังศึกษา

พระธรรม

@ ความไม่รู้จะค่อยๆ สลายด้วยปัญญาที่เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

@ แต่ละคนชีวิตแสนสั้น ความเข้าใจพระธรรมสำคัญที่สุด

@ ความเห็นมีสองอย่าง คือ ความเห็นถูกก็มีความเห็นผิดก็มี ไม่ต้องไปไกล แค่ที่คิดว่า

ไม่ต้องไปฟังหรอก ฟังน้อยๆ แล้วปฏิบัติ หรือ อาจจะมีบางคนบอกว่าปฏิบัติเลยไม่ต้องไป

ฟัง นั่นก็เป็นความเห็นผิดแล้ว

@ เห็นผิดว่าเป็นเราเห็น เห็นผิดว่าเป็นเราที่ได้ยิน ความเห็นผิดเกิดขึ้นได้ในชีวตประจำวัน

@ ใครลืมคะ ถ้าไม่ศึกษาก็คิดว่าเป็นเราที่ลืม แท้ที่จริงเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา

@ ชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นขันธ์

@ กำลังลืมหรือเปล่าคะ ฟังเดี่ยวนี้ก็ลืมว่าเป็นธรรมยังไม่ต้องไปอยากรู้อย่างนั้นอย่างนี้

เพราะยังไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมเป็นตัวตนที่อยากรู้แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง


ความคิดเห็น 23    โดย jirat wen  วันที่ 12 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด


ความคิดเห็น 24    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 30 ก.ค. 2558

ขอบคุณ และขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 26    โดย wirat.k  วันที่ 4 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 27    โดย peem  วันที่ 13 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 28    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 19 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 29    โดย natre  วันที่ 22 ก.ย. 2558

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 31    โดย Jarunee.A  วันที่ 4 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ